Funny game for your mobile

ทำไมมุซันจึงดูคล้าย ไมเคิลแจ็คสัน ความน่าจะเป็นและเล่าเรื่องยุคไทโช

     ถ้าจะถามว่าเหล่าอสูรในเรื่องดาบพิฆาตอสูรมีแบบอย่างมาจากตำนานภูติผีปิศาจจากที่ไหนบ้างมั้ย เป็นเรื่องยากถ้าจะถามผู้แต่งโคโยฮารุ โกโตะเกะว่าหยิบเอาคนนั้นคนนี้มากี่ส่วน เอาแค่ตำนานปิศาจฝั่งตะวันตกก็มีทั้งแวมไพร์ ซอมบี้ แต่ถ้าเทียบตัวอสูรหลักๆของเรื่องกับพวกผีญี่ปุ่นที่มีอยู่ในบันทึกเทียบกันได้แบบตัวต่อตัวเลยทีเดียว แต่มีใครสงสัยกันบ้างมั้ยว่าจ้าวอสูรอย่างมุซันเขามีแบบอย่างมาจากไหน ดูดูไปคล้ายแวมไพร์มากที่สุดนะ แต่แอดว่าสิ่งที่คนสนใจพูดถึงกัน ว่ามุซันเป็นอสูรชนิดไหนกันแน่คือมุซันมันมีแบบอย่างมาจากใครกัน หรือจะเป็น ไมเคิลแจ็คสัน


        หรือไมเคิลแจ็คสันจะเป็นต้นแบบมุซัน ยิ่งดูยิ่งเข้าเค้าไปอีก เพราะหากใครตามประวัติไมเคิล แจ็คสันแล้ว จะมีอยู่อัลบัมเพลงนึงนั่นคือ มิวสิคเพลงที่เขาเปิดตัวออกมาเป็นซอมบี้ในอัลบัม Thriller  ในปี 1982 อัลบัมนี้ก็โคตรดังระเบิดเถิดเทิง ด้วยยอดขายกว่า 110ล้านชุด โคตรเพลงนี้ได้ขึ้นสู่ยอดเสาของหอภาพยนตร์แห่งชาติ 



หลังจากนั้น ไมเคิลก็เปลี่ยนไป เหมือนเชื้อไวรัสคุกคาม ไมเคิลเข้ากระทุ้งแฟนเพลงด้วยรูปลักษณ์อันตรงกันข้ามกับซอมบี้แต่แฝงท่าเต้นเคลื่อนไหวต้านแรงโน้มถ่วงด้วยท่าMoonwalk 



มากับชุดคอสตูมใส่หมวกขาวมาดเท่ ด้วยการเคลื่อนไหวระดับบอสของอสูรแถมเคยเป็นซอมบี้มาก่อนแล้วด้วย ทำให้มุซันยังต้องแต่งตัวเลียนแบบ แถมตอกย้ำด้วยท่าเดินมูนวอล์กในค่ำคืนจันทร์เต็มดวงอันเป็นตอนสุดท้ายของในซีรีส์ภาคการสั่งสอนของเสาหลัก ซึ่งเป็นฉากที่ตราตรึงแก่เหล่าแฟนๆไยบะยิ่งนัก จนโดนเอาไปล้อทำมีมมากมาย ไม่เชื่อไปลองเสริชดูในเน็ต จะว่าไป 2 คนนี้คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะหากใครตามประวัติไมเคิลดีดีแล้ว ไมเคิลนั้นเป็นโรคผิวหนังแพ้แสงอาทิตย์ จนกระทั่งปี 1987 หลังจากที่อัลบัม  Bad ได้เปิดตัวออกมานั้น ดูเหมือนว่าไมเคิลจะเปลี่ยนไปหนักมาก ขาวขึ้นทันตาเห็น หรือว่าเขาเป็นผีดูดเลือดไปแล้วเรียบร้อย!! ตอนแรกใครๆก็คิดว่าเขาเป็นซอมบี้แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เบื้องหลังนั้นก็คือสีผิวเค้ามีปัญหาหรือเป็นโรคด่างขาว 



ทำให้สีผิวเป็นรอยขาวจ้ำๆตามร่างกาย ทำลายความหล่อเข้มที่เขามี ซึ่งมีอยู่ครั้งนึงที่คนซุบซิบนินทากันมากว่าเขาไปทำอะไรมา ศัลยกรรมมาใช่มั้ย!!  เพราะช่วงเวลาจากอัลบัม thriller กับ bad นั้นห่างกันกว่า 5 ปี บางทีอาจติดเตียงอยู่ก็ได้ตอนนั้น ต่อมาปี 1993 เขามาพูดถึงเรื่องนี้ด้วยเสียงเล็กๆ นุ่มนิ่มของเขาขณะให้สัมภาษณ์ในรายการของพิธีกรชื่อดังอย่าง Oprah Winfrey ว่า“ในโลกนี้ไม่มีการกัดสีผิวหรอกครับ ผมมีอาการทางพันธุกรรมที่เรียกว่าด่างขาว และผมใช้เมคอัพเพื่อให้สีผิวผมสม่ำเสมอเท่านั้นเอง” ในสมัยนั้นมันก็เป็นเรื่องยาก ใครๆก็อยากรู้สูตรลับการเปลี่ยนสีผิว ทำยังไงมันถึงเปลี่ยนได้ทั่วตัวขนาดนี้
    และอาการผิวด่าวขาวก็สร้างปัญหาให้แก่ไมเคิล ไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากเป็นโรคทางพันธุกรรมที่รักษาไม่หาย ยังทำให้ผิวแสบกว่าปกติเวลาโดนแดด และทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนังง่ายกว่าคนปกติเท่านั้นเอง ยังงี้ยิ่งเข้าทางมุซันเข้าไปใหญ่ บางทีมุซันมารู้เข้าเลยแอบไปขอสูตรเปลี่ยนรูปลักษณ์ของไมเคิลไปใช้อย่างแน่นอน จริงๆไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ มุซันเกิดก่อน เขาเกิดมาเป็นพันปีแล้วแต่เรื่องนี้อยู่ในยุคไทโช เขาเกิดก่อนราชาเพลงป้อปและ โคโยฮารุ โกโตะเกะ ผู้แต่งเรื่องนี้แน่นอน สำหรับคนที่อยากรู้ว่า ยุคไทโชมีอิทธิพลต่อมุซันมากแค่ไหน มาฟังรายละเอียดคร่าวๆกันดีกว่า


รู้จักยุคไทโช
        เราอาจจะรู้จักยุคเมจิหรือยุคโชวะ หรือเอโดะซึ่งมักจะพูดถึงกันในการตูนร่วมสมัยบ่อยๆ ส่วนไทโชมีพูดถึงน้อยเพราะ ยุคไทโช มีประวัติอันสั้นน้อยนิด คือเพียง 15 ปีเท่านั้น ไทโช (Taisho : 大正) ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า ความชอบธรรมอันยิ่งใหญ่ เป็นชื่อรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิโยชิฮิโตะ ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1912 ถึง 25 ธันวาคม ค.ศ. 1926 (ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7) 



        สมเด็จพระจักรพรรดิโยชิฮิโตะ หรือ จักรพรรดิไทโช ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระจักรพรรดิมุตสึฮิโตะ หรือ จักรพรรดิเมจิ ผู้ฟื้นฟูพระราชอำนาจของจักรพรรดิกลับมาและนำพาญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ผ่านการปฏิรูปเมจิ 



    เพื่อไม่ให้เนื้อหายืดยาวจนเกินไป แอดจะอธิบายให้คร่าวๆว่า ยุคไทโช นั้นเป็นยุคใหม่ของญี่ปุ่น มีการค้าระหว่างประเทศมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามา และเมื่อสงครามกลางเมืองยุคโนบุนากะ ใครเล่นเกมดูการตูนญี่ปุ่นจะร้องอ๋อ (ยุคอาซูจิ–โมโมยามะ 1582) ยุคที่พวกไดเมียวทั้งหลายเข้ารบรากันเพื่อความเป็นใหญ่ และจบลงที่ตระกูลของอิเอยาสึขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ จากนั้นบ้านเมืองก็เข้าสู่ภาวะสงบสุข มีการเปลี่ยนแปลงอีก สถาบันโชกุนโดนล้มล้าง เพราะเข้าพวกกับฝรั่งมากเกินไป จนชาวบ้านไม่พอใจ และเข้าสู่ยุคเอโดะ หลังจากนั้นก็เกิดการปฎิวัติอุตสาหกรรม พอพวกตัวเองเริ่มจะมั่นคง จักรวรรดิ์ญี่ปุ่นก็เริ่มตีปีกสร้างกองทัพอันยิ่งใหญ่เพื่อขยายอาณาเขตด้วยการตีเกาหลี และตบจีน แต่เคราะห์ดีมาไม่ถึงไทย คาดว่าตอนนั้นป่าดิบชื้น ยุคเยอะมาก คิดจะเดินทางเท้า ไข้ป่ามาแน่นอน



    ญี่ปุ่นในยุคเมจิสามารถเติบโตจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการยึดครองไต้หวัน

 เกาหลี และแมนจูเรีย หลังจากรบชนะจีนในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 และสงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย ทำให้เมื่อจักรพรรดิไทโชสืบราชสมบัติต่อจากพระบิดาเมื่อพระชนมายุได้ 33 ปี ญี่ปุ่นในยุคสมัยของพระองค์กลายเป็นยุคต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุคเมจิ... 



        ยุคไทโชเต็มไปด้วยความขัดแย้งของผู้นำรุ่นเก่ากับคนแนวคิดทันสมัย จะเห็นได้ว่ายุคนี้เปลี่ยนรัฐบาลเป็นว่าเล่นเพราะผู้มีอำนาจในยุคนั้นต้องมีคนสนับสนุน ได้เริ่มต้นด้วย “วิกฤตการเมืองแห่งยุคไทโช” เกิดการเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลติดกัน 3 คน ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี จักรพรรดิไทโชไม่อาจรักษาสถานะทางอำนาจของสถาบันจักรพรรดิเหมือนเช่นพระบิดา เพราะพระองค์ทรงมีพระพลานามัยอ่อนแอ ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้สะดวก 


        อีกทั้ง แนวคิดประชาธิปไตยและเสรีนิยมจากตะวันตกได้กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายในยุคไทโช ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายต่อระบอบคณาธิปไตยที่นายกรัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งของจักรพรรดิตามคำปรึกษาของคณะรัฐบุรุษอาวุโส จะเห็นได้ว่าเมื่อประชาธิปไตยเริ่มเข้ามา อำนาจของจักรพรรดิ์เริ่มถดถอย จักรพรรดิ์จะสั่งประหารประชาชนแบบหมูๆเหมือนเมื่อก่อนทำได้ยากแล้ว เพราะประชาชนก็มีปืนเหมือนกัน แล้วต่างชาติก็เพ่งเล็งอยู่ ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีพันธมิตรเพื่อขยายอำนาจ


        ยุคไทโชญี่ปุ่นมีอำนาจที่น่าเกรงขาม ด้วยการจับมือร่วมกับไตรภาคี (สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา) ทำให้ญี่ปุ่นสามารถแผ่ขยายอำนาจไปที่หมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ และมีตำแหน่งเป็นสมาชิกถาวรของสันนิบาตแห่งชาติ สะท้อนให้เห็นได้ว่า ยุคไทโช คือ ช่วงที่จักรวรรดิญี่ปุ่นก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจของโลกได้อย่างแท้จริง 



       ด้วยเหตุนี้เองเหล่าผู้ทีมีฐานะดี ที่เดินทางพบปะกับชาวต่างชาติอยู่เสมอจึงมีโอกาสใส่ชุดสูท ผูกเน็คไท เพื่อให้ต่างชาติยอมรับ ชุดที่มุซันใส่หมวกขาว ใส่ชุดสากลเป็นการปรับตัวเข้ากับสังคม ซึ่งดูๆไปแล้ว มุซันน่าจะไม่ทำอะไรเลย นอกจากแต่งตัวโก้ๆ พาภรรยามนุษย์เข้าสังคมเพื่ออำพรางตัวเองมากกว่า ซึ่งทรงผมหยักซก เป็นเรื่องไม่ปกติเอาซะเลย เพราะผู้ชายยุคนั้นไม่นิยมการดัดผม การถูกกล่าวหาว่าเหมือน ไมเคิลจึงไม่แปลก ดูดูไปการแต่งตัวมุซันออกจะล้ำหน้ากว่าคนยุคนั้นมาก หล่อระดับราชาเพลงป้อบเลย ถึงกลับมีคนทำเกมมาล้อแบบฮาๆ หรือจับมุซันมาเดินมูนวอล์ค 


        การเปิดกว้างทางวัฒนธรรมที่มากขึ้นในยุคไทโช โดยการยอมรับวัฒนธรรมจากตะวันตกเข้ามาปรับใช้ในสังคมญี่ปุ่น จากแนวคิดที่พยายามทันสมัยทัดเทียมกับตะวันตก ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมต่าง ๆ ของตนเองไว้ ทำให้ยุคไทโชกลายเป็นยุคผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างความดั้งเดิมกับความเป็นสมัยใหม่...ผู้คนหันมานิยมแต่งตัวทันสมัยตามแบบสากลตะวันตก ตึกรามบ้านช่างก่อขึ้นจากอิฐและปูน แม้แต่บ้านไม้ญี่ปุ่นยังมีการปรับรูปให้เข้ากับชีวิตสมัยใหม่ และยุคนั้นก็เริ่มมีรถไฟแล้ว จะเห็นได้จากในซีนตอนศึกรถไฟสู่นิรันดร์ ผู้คนในเมืองใช้รถไฟกันเป็นปกติ มีข้าวกล่องขายบนรถไฟ แต่คนบ้านนอกก็อาจจะยังไม่คุ้นอยู่ ยุคนี้มีอะไรใหม่ๆ ค่านิยมก็ถือตามตะวันตกมากขึ้น ผุ้หญิงมีโอกาสมากขึ้นด้วย นอกจากทำงานตามบ้านอย่างเดียว สังคมให้เกียรติผู้หญิงที่มีตำแหน่งงานสูงกว่า และสภาพสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากการพัฒนาของแนวคิดทางสังคมและเทคโนโลยี 

        แต่แล้วยุคไทโชก็มีอันต้องจบลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในแถบที่ราบคันโตเมื่อกันยายน ค.ศ. 1923 ซึ่งแผ่นดินไหวครั้งนี้ครอบคลุมไปถึงกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100,000 ราย และเกิดเหตุเพลิงไหม้ สร้างความเสียหายกว่า 3 ล้านครัวเรือน ความทะเยอทะยานของญี่ปุ่นในการเป็นมหาอำนาจจึงต้องสะดุดลง



    พออำนาจรัฐสั่นคลอน มีการเปิดโอกาสให้กองทัพได้โอกาสเข้ามามีบทบาท จักรพรรดิก็ต้องการยึดอำนาจไปเป้นของตนจึงใช้อำนาจกดขี่ผู้เห็นต่างทางการเมืองกับกองทัพอย่างรุนแรง แต่แล้วจักรพรรดิก็สวรรคตเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1926 ยุคไทโชจึงได้ปิดฉากลงด้วยเวลาเพียง 15 ปีเท่านั้นเอง



        หลังยุคไทโช สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระราชโอรสของจักรพรรดิไทโช ทรงขึ้นครองราชย์และใช้ชื่อรัชสมัย โชวะ ซึ่งตอนต้นรัชสมัยของจักรพรรดิโชวะ กองทัพเริ่มเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ สถาบันจักรพรรดิเริ่มกลับมามีอำนาจ เชิดชูพระจักรพรรดิในฐานะผู้กุมอำนาจสูงสุดผู้ใดจะละเมิดมิได้ ทำให้ประชาธิปไตยยุคไทโชถดถอยและล่มสลาย จากยุคประชาธิปไตยที่กำลังเบ่งบานก็ กลับเข้าสู่ยุคลัทธิทหารนิยมที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด จักรวรรดิญี่ปุ่นจึงพยายามขยายอำนาจและนำจักรวรรดิญี่ปุ่นไปสู่การทำสงครามโลกครั้งที่สอง และผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เรารู้กัน แต่หลังจากนั้นก็เป็นยุคใหม่ที่ชาวญี่ปุ่นวัยหนุ่ม สาวต้องทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อฟื้นฟูประเทศจากการเสียหายในภาวะสงคราม 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้