Funny game for your mobile

อสูรจันทราที่มีที่มาจากอสูรโยไคญี่ปุ่น

    ปิศาจอสูรจากดาบพิฆาตอสูร  หรือ Kimetsu no Yaiba มีที่มาอย่างไร มาจากไหนกันแน่ และแน่นอนว่าภูตผีปิศาจญี่ปุ่นมีมากมายขนาดรวมเล่มเป็นสารานุกรมได้เลย ตามตำนานภูติผีญี่ปุ่นมักเอาอะไรใกล้ตัวมาเล่าให้เด็กๆกลัว อย่างเครื่องดนตรีพอปล่อยไว้นานๆก็กลายเป็นผี เหตุการณ์น่ากลัวตามธรรมชาติอย่างฝนตกหนัก พายุ ว่ากันว่าก็เกิดจากอำนาจของเทพเจ้าหรือภูติผี แม้แต่ภูเขาสีดำๆก็ยังเป็นร่างของอสูรแปลงมาเป็นภูเขายักษ์ แอดจึงยกตัวอย่างโยไคหรืออสูรญี่ปุ่นที่มีความคล้ายหรือมีแคแรคเตอร์ เหมือนกับบรรดาอสูรจันทราในเรื่องนี้ มาดูกันว่ามีตัวอะไรบ้าง



เคียวไก
เคียวไก อสูรกลอง  อดีต 6 อสูรจันทราข้างแรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับ

     อดีตอสูรข้างแรมที่ 6 ผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์กลองสึซึมิ คอยจับคนที่หลงเข้ามาในคฤหาสน์นั้น และทำอย่างที่อสูรทุกตนทำ นั่นคือกินมนุษย์เพื่อเพิ่มพลังอสูร เป้าหมายของเขาก็คือการกลับไปสู่ตำแหน่งอสูรจันทราได้อีกครั้ง เคียวไกเป็นอสูรผู้จมอยู่กับความไม่เป็นที่ยอมรับ ตังแต่เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์จนเมื่อกลายเป็นอสูรก็ยังถูกเมิน วิธีการต่อสู้ของเค้าก็คือตีกลอง ที่สามารถย้ายร่าง บิดวัตถุในบ้านย้ายจไปมาได้ แต่ความสามารถของเขาก็ดูเหมือนจะมีพื้นที่จำกัด เหมือนว่าถ้าออกจากคฤหาสน์กไปแล้ว เขาแทบไม่มีอะไรจะสู้เลย แถมอาวุธที่ใช้ต่อสู้ยังถูกทำลายได้ง่ายๆ

        เรื่องราวชีวิตก่อนมาเป็นอสูรของเคียวไกก็ไม่ได้ดีเด่นไปกว่าใครนัก เมื่อครั้งที่เขายังเป็นมนุษย์
เคียวไก นั้นถึงจะเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ แต่ก็เป็นคนที่มีใจรักในงานเขียน เขาทุ่มเทสร้างงานเขียนเพื่อให้งานเขียนของเขาเป็นที่ยอมรับ แต่เขากลับโดนดูถูกโดยผู้คนรอบข้างแม้กระทั่งบิดาของเขาเอง



ไรจิน
        ตามตำนานญี่ปุ่นโบราณมักจะมีการตีกลองเพื่อโหมโรงหรือปลุกพลังเทพเจ้าขึ้นมาอย่าง ไรจิน หรือเทพสายฟ้า หรือสายฝน ไรจินเป็นถึงโยไคระดับเทพ เขาจะมีกลองที่หลังหายลูก และเมื่อทำการตีกลองเหล่านั้นจะเป็นการเรียกฟ้าร้อง ฟ้าผ่าได้ โดยส่วนมากมักจะปรากฎตัวพร้อมเทพลม หรือ ฟูจิน เมื่อมีลมก็มักจะมีฝน เคยมีตำนานที่สร้างชื่อคือ ครั้งหนึ่ง ไรจินเคยเรียกพายุเพื่อขัดขวาง กองทัพมองโกลของ กุบไลข่าน ที่พยายามบุกญี่ปุ่นในปีค.ศ. 1274 โดยการบันดาลพายุ "คะมิกะเซะ" เข้าสู่ชายฝั่งฮะกะตะ ที่ตั้งของกองทัพมองโกล เป็นผลให้กองเรือของจักรวรรดิมองโกลและพันธมิตรอัปปางลงเกือบทั้งหมด ทหารมองโกลและพันธมิตรล้มตายอย่างมหาศาล กองเรือที่เหลือรอดเพียงน้อยนิดจึงถอนทัพกลับสู่ชายฝั่งเกาหลี  คะมิกาเซะ จึงกลายเป็นที่ร่ำลือกันว่าเป็นพายุจากเทพเจ้าที่ปกป้องญี่ปุ่นในครั้งนั้น



รุย
อสูรแมงมุม ผู้โหยหาครอบครัว 

        วัยเด็กของรุยอสูรข้างแรม เป็นเพียงเด็กที่ร่างกายอ่อนแอ 
มุซันมาเห็นเข้าจึงเปลี่ยนรุยให้กลายเป็นอสูร ทำให้พ่อแม่ของรุยเสียใจมาก เมื่อพ่อของเขาพยายามจะฆ่าเขา ทำให้รุยฆ่าพ่อ แม่ตัวเองตาย จากนั้นเขาก็กลายเป็นอสูรที่โหยหาแต่ครอบครัว จึงได้สร้างครอบครัวอสูรแมงมุงขึ้นมา และเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาคนในครอบครัวให้ดูเหมือนเขาด้วย
    อสูรหรือโยไคญี่ปุ่นนั้นมีตำราที่เขียนเล่าเกี่ยวปิศาจแมงมุมมากมายหลายตัว เพราะแมงมุมนั้นเรารู้ดีว่าเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมนุษย์เราที่สุด แมงมุมถ้าเป็นแค่แมลง มันคือตัวน่ารำคาญที่ทำให้บ้านดูสกปรกด้วยหยากไย่ แต่ถ้าลองมันตัวเท่าคนเมื่อไหร่ หยากไย่หรือใยแมงมุม กลายเป็นรังเชือดเหยื่ออย่างดีของพวกมัน



ซึชิกุโมะ
        ในตำนานพื้นบ้านญี่ปุ่น มีแมงมุมที่มีเขา แถมใส่ความน่ากลัวของปิศาจเข้าไปอีกนั่นคือเจ้า ซึชิกุโมะ ที่แปลว่าแมงมุมดิน คำๆนี้บางทีเอาไปใช้กับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่ปฏิเสธคำสั่งจากราชสำนักแล้วไปอาศัยอยู่ในถ้ำแทน เพราะคำๆนี้สันนิษฐานกันว่ามาจาก ทูจิโงโมริ (土隠) โดยประกอบจากคำว่า ทูจิ () แปลว่า "ดิน" กับคำว่า โกโมริ () แปลว่า "หลบซ่อน" 
        รูปร่างของซึชิกุโมะคล้ายแมงมุมยักษ์ตามตำนานเล่าว่าโชกุนมินาโมโตะ โยชิมิตสึได้ล้มป่วยลง รักษาทั้งทางแพทย์ทางผีก็ไม่ดีขึ้น ต้องปวดหัวเป็นไข้จามไอ ทรมานทุกค่ำคืน ที่ท่านป่วยแบบนี้เพราะโดนปีศาจตามรังควาน มันปรากฏตัวในรูปของพระชรารูปหนึ่งที่มาในเงามืด ซุ่มรอจนองครักษ์ทั้งสี่ของโยชิมิตสึแยกย้ายกลับที่พักตนไป แล้วมันก็ปรากฏออกมาหลังแสงไฟ แล้วพ่นเส้นไหมสีขาวใสคล้ายใยแมงมุมใส่โยชิมิตสึ แต่มาคืนหนึ่ง ซึชิกุโมะ ปรากฎมาในร่างพระแก่ โยชิมิตสึนอนหลับไม่ได้ก็สะดุ้งตื่นคว้าดาบคู่กายสะบัดใส่พระรูปนั้น พร้อมส่งเสียงเอะอะโวยวาย พอองครักษ์ทั้งสี่ได้ยินเสียงจึงรีบมายังที่เกิดเหตุก็พบว่ามีรอยเลือดหยดเป็นทางจากห้องของโชกุน พวกเขาคิดว่าเป็นคนร้ายจึงรีบติดตามไป
        จนกระทั่งไปสุดที่เนินดินเก่าแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงลงมือขุดเนินดินค้นหา เรียกได้ว่าค้นทุกซอกทุกมุม จนกระทั่งแมงมุมโผล่พรวดออกมา ตัวมันใหญ่ยักษ์เหมือนปิศาจแมงมุม มันพ่นใยพิษใส่ทุกคน  ทุกคนจึงสู้กลับพากันก็ช่วยกันรุมฟันแทงมัน จนกระทั่งมันตายลงในที่สุด หลังจากนั้นโชกุนก็ไม่มีอาการป่วยอีกเลย  



                                                      กิวทาโร่ และ ดาคิ
                            อสูร2พี่น้อง จากคนยากไร้ และเกอิชายุคเซ็นโงกุ

        ดาคิและกิวทาโร่ พี่น้องผู้เติบโตมาอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะคนพี่อย่าง ‘กิวทาโร่’ พี่ชายผู้เกิดมาด้วยรูปร่างอันอัปลักษณ์ในย่านเริงรมย์ที่ควรมีแต่สิ่งสวยงามน่ามอง ทำให้เขาโดนคนรังเกียจ โดนทำร้ายมาตั้งแต่เด็กๆ ต้องหาของกินจากถังขยะ และชีวิตที่ย่ำแย่นี้ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเพราะการเกิดมาของ ดาคิ (หรือชื่อสมัยเป็นมนุษย์คืออุเมะ)         อุเมะ (ดาคิ) ในวัยเด็ก คือเด็กที่หน้าตาน่ารัก ทำให้เป็นที่ถูกตาต้องใจของใครหลายๆ คนในย่านเริงรมย์ ซึ่งสิ่งนี้ก็นำไปสู่การใช้ชีวิตและจุดจบของชีวิตในเวลาต่อมาเหมือนกัน เมื่ออุเมะที่เติบโตมาพร้อมกับหน้าตาที่สวยงามและที่ทำงานในย่านเริงรมย์ด้วยการเป็นโจโร่ โดยหวังว่าการเป็นโจโร่นี้จะทำให้ชีวิตของสองพี่น้องดีขึ้น
ผีญี่ป่นที่เด่นชัดของกิวทาโร่ไม่มี นอกจากความเด่นคือใช้เคียวที่มีพิษ ส่วนดากินั้นมีผีญี่ปุ่นที่เรียกว่า Jatai หรือผ้าโอบิที่เคลื่อนไหวได้


จาไต
จาไตเป็นผ้าคาดเอวกิโมโนที่เคลื่อนไหวได้และเลื้อยไปมาเหมือนงูยักษ์ในยามค่ำคืน

 ตำนานความเชื่อพื้นบ้านเก่าแก่จากจังหวัดเอฮิเมะและพื้นที่อื่นๆ ของญี่ปุ่นกล่าวว่า หากคุณวางโอบิไว้ใกล้หมอนขณะนอนหลับ คุณจะฝันถึงงู เนื่องจากคำว่า "ร่างกายของงู" (จาชิน) เป็นคำเดียวกับคำว่า "หัวใจที่ชั่วร้าย" จึงกล่าวกันว่าโอบินั้นกลายมาเป็นสึคุโมงามิ หรือ สิ่งของที่กลายมามีชีวิต ที่โหดร้ายที่เรียกว่าจาไต จาไตจะตามล่าผู้ชายและรัดคอพวกเขาขณะนอนหลับ






เกียกโกะ
                                อสูรครึ่งคนครึ่งปลาที่ชื่นชอบงานสะสมที่วิปลาส
        ในอดีตเขาเป็นลูกชายชาวประมงที่ทุกคนในหมู่บ้านทอดทิ้ง และเมื่อได้กลายเป็นอสูรก็เลื่อนขั้นมาอย่างรวดเร็วเป็นอสูรข้างขึ้น นั่นก็อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนที่คอยสอดส่องเป็นสายลับที่ดีที่สุด และด้วยความรังเกียจคนเหมือนกัน ทำให้เขากลายเป็นคนสนิทของมุซัน เกียกโกะมีความสามารถต่อสู้ด้วยปลาและหนามแหลมพิษ เหมือนพิษปลาสิงโต และมันชอบทำทารุณกับคนที่ตัวเองจับมาได้และเอาไปทรมานเป็นงานสะสม 


                                                                          นินเกียว
        ในตำนานปิศาจมนุษย์ลูกครึ่งปลามีอยู่ตัวหนึ่งนั่นคือ “นินเกียว” มันมีท่อนร่างเป็นปลา ส่วนหัวเท่านั้นที่เป็นคน ไม่เหมือนนางเงือก แต่เป็นอสูรปลา ชาวญี่ปุ่นเรียกพวกนี้ว่าเงือก ตำนานเก่าแก่เล่าว่า คนญี่ปุ่นมองว่าเงือกมีเวทมนนตร์ สามารถดลบันดาลให้ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนได้!  มีพลังวิเศษ  นอกจากนี้หากชาวประมงคนไหนจับเงือกขึ้นมาจากทะเลได้ บริเวณนั้นจะเกิดเภทภัยขึ้น แต่ถึงจะกลัวเภทภัย เงือกก็ยังถูกไล่ล่าอยู่ดี เพราะเชื่อกันว่าหากใครกินเนื้อพวกมันเข้าจะมีชีวิตเป็นอมตะ 
        มีตำนานแพร่หลายในญี่ปุ่นว่า ครั้งหนึ่งมีคนพบนางเงือกนอนตาย มาเกยตื้นที่หมู่บ้านประมงในจังหวัดวาคาสะ จริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือเงือก เลยไม่รู้ว่ากินไปแล้วจะเป็นอมตะ แต่เห็นว่ามันน่าเกลียดมาก เลยเลือกจะไม่กิน ยกเว้นชายคนหนึ่งที่เอาเงือกกลับบ้าน
ปรากฏว่าลูกสาวของชายคนนั้นไปกินมันเข้า ไม่รู้ทนกินได้ยังไง ไหนบอกน่าเกลียด ทำให้เธอมีชีวิตอมตะเป็นสาวไปตลอด ไม่แก่ไม่เฒ่า แต่เรื่องร้ายที่แท้จริงกำลังเกิดขึ้น ต่อมาหญิงสาวต้องทนเห็นครอบครัวและคนที่ตัวเองรู้จักทยอยแก่และตายไปทีละคน   สิ่งนี้ทำให้เธอเศร้ามาก หมดอาลัยตายอยากเหลือแต่เธอเพียงคนเดียว  เธอเลยไปบวชเพื่อหาความหมายแก่ชีวิต จนบรรลุธรรม ละสังขารไปได้ในที่สุดเมื่ออายุ 800 ปี และได้ชื่อเรียกว่า “ยาโอบิคุนิ” แปลว่า ภิกษุณี 800 ปี บางตำนานก็ว่ากันว่าลูกชาวประมงจับเงือกมาจากทะเลและกินมันเข้าไป ไม่นานก็มีเกล็ดงกออกมา และร่างกลายเป็นเงือก หลังจากนั้นพวกเขาก็ขาดใจตายอยู่บนบกด้วยความทรมาน ไม่ต่างอะไรกับตอนที่เงือกโดนลากขึ้นจากน้ำมา!




                                                                      นาคิเมะ
อสูรเล่นบิวะจากนักดนตรีที่เป็นนักฆ่าสู่อสูร
        อสูรนางคนนี้ ดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากการสร้างปราสาทไร้ขอบเขต และความสามารถในการแทรกซึมเข้าไปในที่ใดก็ได้ ซึ่งแค่นี้ก็เป็นที่พอใจของมุซันแล้ว ในอดีตเป็นนักดนตรีสาวที่ฝีมือธรรมดา มีสามีที่เป็นคนติดเหล้า เธอพลั้งมือฆ่าสามีที่เอาชุดกิโมโนไปขายเพื่อหวังแลกเงิน เหมือนหลังๆเธอจะเสพติดการเป็นษาตรกรโหด เธอเชื่อว่าหากได้ลงมือฆ่าใครแล้ว ก่อนเล่นแสดงบิวะ เธอจะเล่นได้ดี แล้วในที่สุดเธอมาเจอมุซัน เธอพยายามลงมือกับมุซัน สุดท้ายถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอสูร



                                                            บิวะโบคุโบคุ (Biwa bokuboku)
        เป็นภูตผี ที่ถือกำเนิดมาจาก “บิวะ” (Biwa) เครื่องดนตรีประเภทสายของญี่ปุ่นโบราณ บิวะเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาบรรเลงประกอบการขับร้องเพลงและบทกวี เชื่อกันว่าเมื่อบิวะชั้นดี เมื่อนานวันเข้า จะกลายมาเป็นบิวะโบคุโบคุ ที่สามารถเล่นตัวเองได้ มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ แต่งตัวเหมือนกับนักบวช ตาบอดและถือไม้เท้า ออกเดินทางเร่ร่อนไปตามท้องถนนเพื่อหาเงิน เมื่อบิวะเล่นได้เองแถมยังเพราะดึงดูดให้คนหลงไหลได้ งานนี้คนก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป



ฮังเทงงู
อสูรทีมีหลายลักษณะในตัวเดียว 
        ร่างอสูรของเขานั้นแบ่งได้เป็นเหมือนมนุษย์คนหนึ่งที่มีหลายด้าน ที่ข้างในมีความเศร้า ความโกรธ ความชัง ความยินดี ทั้งหลายเหล่านี้ก็คืออารมณ์อันหลากหลายแต่มันจะกลายเป็นความน่ากลัว เมื่อมันแบ่งออกมาได้เป็นอสูรหลายตัว 
        ช่วงเป็น มนุษย์ ฮังเท็งงูเป็นคนขี้โกหก ชื่อฮังเท็งงูไม่น่าจะเป็นชื่อจริง เพราะฮังเท็นงูมีความหมายว่า หวาดกลัว เป็นคนจิตวิปลาส เขาฆ่าลูกเเละเมียตัวเอง แล้วก็ไปมีครอบครัวใหม่ เขาทำเเบบนี้ซ้ำๆจนจำ ภูมิหลังจริงๆของตนไม่ได้ ต่อมาฮังเท็งงู ขโมยของเเละฆ่าคน มันถูกจับได้เเละ ถูกตัดสินประหาร ระหว่างนั้นเขาก็ได้พบกับมุซัน เมื่อฮังเท็งงูได้เป็นอสูรก็เข้าสังหารผู้ตัดสิน ฮังเท็งเป็นอสูรข้างขึ้นที่เข็งเเกร่งมาก ร่างแยกที่แยกออกเป็นร่างหลายบุคลิก และรวมร่างกันได้จนเป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุด 
    วิธีการต่อสู้ของฮังเทงงู นั้นจะใช้อาวุธที่แตกต่างกันไป ร่างที่ใช้พัด ร่างที่ใช้หอก อีกร่างใช้คถาสายฟ้า ส่วนร่างที่ร้ายกาจที่สุดเห็นจะเป็นร่าง เกลียดชัง โดยเจ้าอสูรโกรธามันได้ทำการรวมร่างทั้ง 4 รวมเป็น 1 เดียวทำให้มันใช้มนต์อสูร มังกรภัยไร้ที่สิ้นสุด อันเป็นร่างโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด



มังกรญี่ปุ่น
        ตำนานเรื่องเล่าญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าขานมาแต่โบราณ ว่ามังกรเป็นสัตว์อสูรที่อยู่คู่กับเทพนิยายและการ์ตูนมาอย่างยาวนาน ตำนานมีมังกรหลายตัวเป็นทั้งฝ่ายเทพและเป็นสัตว์อสูร คำว่าริว แปลว่ามังกร ว่ากันว่ามีมังกรในตำนานญี่ปุ่นมากถึง 14 ตัว ได้แก่ 
1.ริวจิน (มังกรพิทักษ์อัญมนีควบคุมน้ำขึ้นน้ำลง)
2.ยามาตะโนะโอโรจิ [八岐の大蛇] 
เป็นมังกรที่มี 8 หัว 8 หางและตาสีแดงมีมอสและต้นไม้ที่หลัง มันใหญ่มากจนครอบครอง 8 หุบเขาและ 8 ยอด มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าอสรพิษแปดหัว (มังกร) ยามาตะโนะโดโรจิเป็นมังกรที่ชั่วร้าย จึงถูกเทพซูซาโนะโอปราบ

3.เซริว มังกรฟ้าและมังกรทั้ง 4 โดย1ในนั้นมีมังกรเขียวอันเกี่ยวข้องกับ เชงลอง Qing Long มังกรเทพเจ้าของจีนและเป็น 1 ใน 4 ผู้พิทักษ์ปกป้องเมืองญี่ปุ่น 
4.เซ็นเนียว ริวโอ (Zennyo Ryuo) เป็นเทพเจ้ามังกรฝนที่กล่าวถึงในเรื่องราวทางพุทธศาสนาและในพระราชวังอิมพีเรียลเกียวโต เขาเป็นมังกรตัวเล็กที่มักจะปรากฏในร่างมนุษย์ แต่มีหางมังกร
5.คุโรกามิ มังกรหิมะ คุราโอกามิถูกเรียกว่ามังกรแห่งความมืด เขายังเป็นเทพแห่งฝนและหิมะของชินโตด้วย เขาเป็นเทพที่เกิดจากมหาเทพของญี่ปุ่น Izanagi และ Izanami  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้