Funny game for your mobile

6. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง เชียงดาว

  ในอดีตกาลมีนครแห่งหนึ่งนามว่า นครพะเยา กษัตริย์ผู้ครองนครมีราชธิดา 6 องค์ และมีโอรสเป็นองค์สุดท้าย นามว่า เจ้าคำแดง อายุ 16 ชันษา ราชธิดาทุกองค์สมรสหมดแล้วกับเจ้าเมืองต่าง ๆ สำหรับเจ้าคำแดงเป็นผู้กล้าหาญ เข้มแข็งในการสงครามยิ่งนัก ทรงโปรดการออกป่าล่าสัตว์อยู่เสมอ ๆ





          ครั้นหนึ่งมีกองทัพฮ่อยมาล้อมนครพะเยา พระราชาทรงเรียกเขยทั้ง 6 องค์มาถามว่า "ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นผู้อาสาออกไปปราบปราม" เขยทั้ง 6 นิ่ง ไม่มีใครกล้าอาสา เพราะทราบว่าศัตรูมีกำลังมากมายและเข้มแข็งยิ่งนัก ดังนั้น พระราชาจึงตรัสเรียกเจ้าคำแดงออกมา เมื่อเจ้าคำแดงทราบเรื่องจึงรับอาสาออกปราบเอง พร้อมด้วยไพร่พลหนึ่งหมื่น

          การรบครั้งข้าศึกได้แตกพ่ายไป เมื่อเจ้าคำแดงได้ชัยชนะก็ยกทัพกลับ ขณะเดินทาง บังเอิญเจ้าคำแดงเห็นกวางทองรูปงามตัวหนึ่ง ก็อยากจะได้เพื่อนำไปถวายพระบิดา จึงสั่งให้พวกทหารเข้าล้อม เมื่อไพร่พลเข้าล้อมอย่างกระชั้นชิดเข้าไปมาก กวางก็ตกใจกระโจนหนีออกทางด้านเจ้าคำแดง ดังนั้น เจ้าคำแดงจึงควบม้าติดตามไปพร้อมด้วยไพร่พล การติดตามใช้เวลาหลายวัน จากนครพระเยาจนเข้าเขตเชียงใหม่ จนเข้าใกล้เขาลูกหนึ่งสูงมาก สูงเทียมดาว ไพร่พลเรียกเขาลูกนี้ว่า "สูงเพียงดาว" ต่อมาชื่อนี้เพี้ยนไปเป็น "เชียงดาว"

          บริเวณเชิงเขาเป็นทุ่งกว้าง กวางทองวิ่งหายไปในป่าหญ้า ต้องใช้เวลาค้นหาเป็นเวลานานบริเวณทุ่งหญ้าตรงนี้ชาวบ้านเรียกว่า "ทุงผวน" (ทุ่งกวางหาย) "ผวน" เป็นคำพื้นเมือง แปลว่า "สับสน" ต่อมาพวกทหารได้มองเห็นแต่ไกล คิดว่าเป็นเนื้อทราย แต่พิจารณาดูดี ๆ จึงรู้ว่าเป็นกวางทอง ตรงบริเวณนี้ชาวบ้านให้ชื่อว่า "บ้านแม่ทลาย" (แม่ทราย) เจ้าคำแดงคงติดตามไปไม่ลดละกวางเห็นจวนตัวจึงถอดคราบกวางทองออกไว้ เรือนร่างภายในกลายเป็นสตรีสาวสวยยิ่งนัก นามว่า "อินทร์เหลา" แล้วหนีต่อไป ทั้งหมดจึงรู้ว่ากวางทองเป็นคน หมู่บ้านที่กวางถอดคราบออกนี้เรียกว่า "บ้านสบคราบ" (สบ ปากทางแพร่)

          อินทร์เหลาหนีขึ้นไปตามลำธารเล็ก ๆ เนื่องด้วยมีเครื่องแต่งกายเพียงเล็กน้อย เจ้าคำแดงที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิดเกรงว่านางจะอาย จึงยกมือโบกให้ทหารติดตามมาหมอบราบกับพื้น เพื่อมิให้นางเห็น ตรงนี้เรียกว่า "น้ำแม่แมบ" (แมบ ? หมอบ) ต่อมาเพี้ยนเป็นแม่น้ำแมะ นางหนีขึ้นไปถึงบนเนินเขาซึ่งเป็นทางแคบ ๆ ทหารตรูเข้าจะจับตัวนาง แต่เจ้าคำแดงยกมือห้ามไว้ พระองค์จะตามไปเอง พอดีนางอินทร์เหลาหนีเข้าป่าไปได้ หมู่บ้านตรงนี้เรียกว่า "แม่นะ" และเพื่อไม่ให้นางหลบหนีไปได้ เจ้าคำแดงจึงสั่งให้ทหารล้อมไว้พร้อมกับขุดคูกั้นไว้ คูนี้ต่อมาเรียกว่า "คือฮ่อ" (คือ-คู)

          นางอินทร์เหลาจวนตัว จึงพยายามปีนป่าขึ้นเขาได้ เจ้าคำแดงติดตามไปแต่ผู้เดียว และไปพบตัวนางบนเนินเขาเตี้ย ๆ นางจึงถามว่า "มาจับฉันทำไมฉันมีความผิดอะไรหรือ"เจ้าคำแดงตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นราชโอรสของกษัตริย์พะเยา เห็นกวางทองก็อยากจะได้จึงติดตามมา แต่ปรากฏว่ากวางทองตัวนั้นความจริงเป็นนางผู้สวยงาม เกิดรู้สึกรักและอยากจะได้เป็นชายา" นางตอบว่า "หากพระองค์รักข้าพเจ้าจริง ควรจะต้องไปบอกมารดาเสียก่อน ขณะนี้อยู่ในถ้ำ" เจ้าคำแดงเห็นตามคำกล่าว จึงลงมาจากม้าเดินตามนางเข้าไปในถ้ำเพื่อไปหามารดาของนาง ซึ่งมีชื่อว่า "อินทร์ลงเหลา"

          พวกเสนาที่ติดตามมาพบแต่ม้าที่ปล่อยไว้ แลเห็นรอยเท้าทั้งสองหายเข้าไปในถ้ำ พวกเขารออยู่เป็นเวลานานเจ้าคำแดงก็ไม่ออกมา เมื่อเข้าไปดูในถ้ำก็ไปไม่ถูกจึงต้องยกทัพกลับนครพะเยา ชาวบ้านใกล้ ๆ ทราบเรื่องต่างกล่าวว่า เจ้าคำแดงขณะนี้ได้เป็นอารักษ์คุ้มครองดูแลถ้ำขุนเขาลูกนี้ และเรียกเจ้าคำแดงว่า "เจ้าหลวงคำแดง" ทุกวันนี้

          ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

          นิทานเรื่องนี้ เป็นการบอกให้เราคนหลัง ๆ ได้ทราบถึงความเป็นมาของสถานที่ที่มีชื่อในถิ่นนั้นและแสดงให้เห็นถึงความ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และความพยายามเป็นอย่างมากจนพบกับความสำเร็จแต่ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับทางไสยศาสตร์เช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้