ไม่นานมานี้มีข่าวที่โด่งดังว่า มีรูปปั้นที่คนบูชาที่โด่งดังในชั่วข้ามคืนตั้งตระหง่านกลางกรุงเทพฯ ใครพบเห็นก็รู้สึกขนลุกซู่ เป็นที่ถกเถียงกันเหลือเกินว่าสมควรจะตั้งอยู่ตรงนั้นหรือไม่ นั่นก็คือ "ครูกายแก้ว" โดยผู้ที่นำเข้ามาอ้างว่าท่านเป็น เทพอสูร นะ บ้างก็ลือกันว่าเป็นผู้ใช้มนต์ขลังจนทำให้มีรูปลักษณ์เป็นอสูรกายต่างหาก อย่าไปไหว้ ก็มีเสียงแตกกันมากว่า ไม่ควรให้ความเคารพเพราะไม่ใช่รูปเคารพที่น่าเลื่อมใส ไม่ก่อให้เกิดความสุข แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ชาวพุทธควรจะไปเคารพอยู่แล้ว ณ.ปัจจุบันนี้เรามีสิ่งเคารพบูชา องค์เทพมากมาย และการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รูปเคารพบูชานั้นก็เป็นภาพที่คุ้นตากันไปแล้ว
เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องสมมุติ ในหัวข้อที่ว่า ถ้าหากว่า"ซาตานอยู่ในศาลเจ้าที่"ล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น สมมุติว่าสิ่งที่เคารพอยู่ เป็นเทพก็จริง แต่เป็นเทพที่น่ากลัวล่ะ โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ในเรื่องสั้นเชิงสมมุติไม่ใช่เหตุการณ์จริงแต่อย่างใด โดยผู้แต่งจะอธิบายความหมายของซาตานก่อนว่า หมายถึงผู้หลงผิดและเป็นผู้ชักจูงมวลมนุษย์ไปในทางที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นคติคริสต์ ที่ซาตานนั้นคือปฎิปักษ์ที่เป็นขั้วตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับพระเจ้า หรือแม้แต่ทางพุทธที่เป็นผู้ขัดขวางการทำความดีและล่อลวง
โดยเรื่องมีอยู่ว่า ไตรภพเป็นนักปฎิบัติธรรมในศาสนาพุทธอย่างจริงจัง เป็นคนรักการทำบุญ มักจะตระเวณไปทำบุญใหญ่ที่วัดอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ชอบการนั่งสมาธิ ปฎิบัติธรรมจนวัดที่เขาไปเป็นประจำนั้น ต่างรู้จักเขาเป็นอย่างดี ชาวบ้านล้วนรู้จักเขาในชื่อพี่ภพ เพราะพี่ผมมักชอบออกหน้าเป็นเจ้าภาพงานทำเครื่องราง ปลุกเสกให้เสมอ พี่ภพมีฐานะค่อนข้างดี มีรายได้หลักจากการทำเว็บไซต์นั่นเอง และชื่อเสียงพี่ภพก็มีคนรู้จักไม่น้อย นอกจากก่อตั้งเว็บไซต์ พลังธรรม ขึ้นมาแล้วพี่ภพยังเคยเล่าประสบการณ์การปฎิบัติธรรมอันอัศจรรย์ซึ่งในหมู่มวล คนชอบเรื่องเหล่านี้ต่างให้ความเลื่อมใส มีข่าวเล่าลือกันว่า พี่ภพเป็นพระโพธิ์สัตว์ ซึ่งในทางพุทธแล้ว พระโพธิ์สัตว์นั้นก็คือผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั่นเอง สำหรับผู้ที่ยังงว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีองค์เดียวหรือ อันนี้สำหรับผู้ที่ไม่เคยศึกษามาก่อน "พระพุทธเจ้านั้นมีหลายองค์ และจะถือบังเกิดขึ้นมาในยุคใหม่ แทนที่องค์เดิมที่เสื่อมถอยไป"
เมื่อภพฝึกฝนปฎิบัติธรรมจนเชี่ยวชาญก็มั่นใจ เขาเป็นทั้งผู้คนที่สั่งสอนผู้อื่นให้เชื่อในความดี และความดีนั้นจะเกิดเป็นบุญเป็นอำนาจ ลาภยศ อย่างที่เขาเป็นอยู่ หลายคนต่างศรัทธาและติดตามเขา มาวันหนึ่งภพขับรถผ่านหน้าศาลพระภูมิแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมถนน ดูรกร้าง ขณะเดินทางกลับจากวัดที่เขาไปทำบุญมา จู่ๆก็เกิดสัมผัสประหลาดขึ้นมาในจิตใจ ที่เป็นเหตุนั้นเพราะว่า ภพมีเซนส์ในการรับรู้สิ่งที่ตาเนื้อคนทั่วไปมองไม่เห็น เขาขับรถลงจอด เพ่งพินิจศาลเจ้านั้นอย่างครุ่นคิด แล้วตั้งใจอธิษฐาน"กระผมสัมผัสได้ว่า มีสิ่งใดอาศัยอยู่ ถ้าท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วไซร้ แสดงตนเถิด" หลังจากภพอธิฐานอยู่ในใจ สักพักไม่นานก็มีลมหวิวๆพัดผ่าน เป็นลมเย็นยะเยือก ใบไม้พัดปลิว ร่างกายเขารู้สึกหวั่นไหว และสักพักก็เงียบไป ไม่มีสิ่งใดตอบสนองอีกเลย สิ่งแค่นั้นก็ทำให้เขาพออกพอใจยิ่งนัก และเขาก็ขับรถกลับบ้านไป
วันต่อมาเขายังไม่คลายสงสัย เขากลับมาอีกครั้งพร้อมพวงมาลัย และของไหว้ พร้อมจัดการปักธูปเคารพอย่างกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ "พี่ภพต้องการอะไรจากศาลเก่านี่หรือ ผมว่ามันแปลกๆ" เด็กที่ติดตาม ภพ ชื่อว่า น้อยถาม"ไม่แปลกหรอก เชื่อพี่ พี่มั่นใจว่าที่นี่ต้องมีอะไรสักอย่าง" เขาตอบ ภพเดินพาน้อยผู้ติดตามเดินเข้าไปข้างในทางลูกรังซึ่งดูเหมือนมีทางเดินลัดเลาะเข้าไปในพงไม้ทึบๆ ที่ตอนแรกเขามองไม่เห็น น่าแปลกใจมีทางเดินเข้าไปเหมือนตรงทางนี้มีคนอาศัยอยู่ และเมื่อเดินไปได้สักพักเขาถึงกับผงะ ตรงหน้านั้น...มีพระแก่ๆรูปหนึ่ง ยืนกวาดลานอยู่ และข้างหลังนั้นเป็นวัดที่รกร้าง นั่นเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เขาได้พบ
"เชิญมานั่งด้วยกันสิ "พระรูปนั้นบอก
สักพักเขาก็ไปนั่งตรงลานปูน สนธนาพูดคุยกับพระรูปนั้น ในใจคิดว่าพระธุดงค์หรือใครมาอยู่ในที่ร้างผู้คนเช่นนี้ ดูท่าพระรูปนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ก็ได้ความว่าที่นี่มีพระอยู่คนเดียว เป็นพระธุดงค์มาจำวัดชั่วคราว เห็นที่นี่พอใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้จึงมาพักที่นี่ แม้สภาพจะดูรกร้างสักหน่อย แต่ไม่ใช่น้อยเลย ที่นี่คือวัดร้าง เมื่อพูดคุยกันได้สักพักท่านก็เอ่ยถึงศาลเจ้าหน้าวัดร้างนั่น ท่านเตือนไม่ให้ภพไปข้องเกี่ยวศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ เพราะมีอาถรรพ์ เมื่อพูดคุยกันพอประมาณก็ลากลับ
สิ่งที่ภพกลับมานั่งคิดนั้นก็คือ ทำไมพระสงฆ์รูปนั้นถึงห้ามปราม ยังมีสิ่งที่พระสงฆ์ยังไม่กล้ายุ่งอีกหรือ ก็แค่พวกภูติผีละมัง ยิ่งสงสัยก็ยิ่งอยากจะรู้ วันถัดมาเขาก็เดินทางไปที่วัดร้างอีก ปักธูปและเชิญจิตวิญญาณนั้นให้มาคุยกัน เมื่อเขานั่งลงที่ลานด้านหลังศาลพระภูมิได้สักพัก จู่ๆจู่ก็เกิดบรรยากาศมืดมิด มีเสียงพูดจากหมอกที่หนาทึบ
"เป็นคุณอีกแล้วรึ มีธุระอะไร"
เป็นสิ่งที่เกินคาด ผู้ที่อาศัยอยู่เป็นจิตวิญญาณหรือเป็นเทพนั้นไม่แน่ใจ แต่ร่างนั้นแต่งตัวดี ผิวกายคล้ำเข้ม แต่รูปร่างสมส่วนออกจะสง่างามด้วยซ้ำ ภพสงสัยว่าชายผู้นี้เป็นใคร
ไม่นานนักเขาก็ได้รับคำตอบว่า ชายผู้นั้นเป็นเทวดา แต่เขาไม่มีสิ่งเคารพ
ถึงแม้เขาจะมีท่าทางที่น่าเลื่อมใส บุคลิกการพูดจาก็ดูสุภาพ แต่สิ่งที่ภพสงสัยถ้างั้นเขาเป็นเทพจากที่ใดกันแน่ เทพนั้นตอบไปว่า ตัวตนของเค้านั้นมีหลายร่าง เค้าเองก็มีคนบูชา กราบไหว้ บางครั้งผู้คนก็สวดให้ด้วยบทสวดไทยบ้าง ฮินดูบ้าง ปนๆกันจนตอนนี้แยกไม่ออกจากกันแล้ว
ภพตกใจค่อนข้างช็อค เพราะสิ่งที่เขารู้มีเพียงเรื่องเดียว บุคคลที่อยู่ต่อหน้า นั้นควรจะเรียกอีกอย่างว่า ซาตาน หรือที่คนไทยเรียกว่า มาร นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับมารตัวเป็นๆ จากนั้นจิตความรู้สึกนึกคิดก็กลับมาที่วัดร้างอีกครั้ง เขาสังเกตุเห็นว่าวัดร้างมันสะอาดขึ้น ดูไม่รกร้างเหมือนตอนมาครั้งแรก แต่นั่นไม่ได้หยุดให้เขาคลายสงสัยในตัวชายผู้นี้ได้
ภพจุดธูปเชิญเทพองค์นั้นอีกเช่นเคย เทพองค์นั้นยังคงต้อนรับ แต่การแต่งตัวแตกต่างจากที่พบครั้งแรก ยังให้ภพได้พูดซักถามอยู่เสมอ ไม่ปิดบัง เมื่อมาถึงคำถามที่ว่า ท่านมาอาศัยอยู่ที่นี่ทำไม เทพนั้นตอบว่า"ร่างนี้จะหมดวาระแล้ว เขาต้องการที่สถิตใหม่" จากนั้นเทพองค์นั้นหายไปในเงามืด ภพเดินตามเข้าไป ในเงามืดนั้นเขาได้เห็นว่าเทพองค์นั้นกำลังโอบผู้หญิงคนหนึ่งไว้กับตัว หญิงคนนั้นยังมีชีวิต แต่อยู่ในสภาพสลึมสลือ ขยับตัวไม่ได้ จากนั้นเขาค่อยๆจูบลงที่ต้นคอของหญิงผู้นั้น แล้วสิ่งที่ภพเห็นเขาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นสิ่งนั้นเลย ดูเหมือนว่าเทพผู้นั้นค่อยๆดูดเลือดจากต้นคอเธอคนนั้น
ร่างของหญิงสาวกลายเป็นศพที่แห้งเหี่ยว เลือดถูกสูบออกจนหมด สภาพเหมือนผีดิบ แล้วเทพองค์นั้นก็หัวเราะขึ้นอย่างร่าเริง เสียงโหยหวนเหมือนปิศาจร้าย ภพตกใจสุดขีด เขาวิ่่งหนีไม่คิดชีวิต ออกมาจากที่แห่งนั้น เหมือนอยู่ในความฝัน ถึงแม้เขาจะวิ่งเต็มที่เพียงใดแต่เหมือนเวลาหยุดนิ่ง และเขาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนเลย เสียงหัวเราะของเทพองค์นั้นยังก้องอยู่ในหัว
เขาได้สติกลับมายังวัดอีกครั้ง พระแก่มาพบเข้า ถามว่าไปยุ่งกับศาลนั้นอีกแล้วใช่มั้ย ทั้งๆที่เตือนแล้ว "มันเป็นผีดูดเลือดอย่างนั้นหรือหลวงพ่อ" เขาถาม
พระตอบว่า "อาตมาก็ไม่ทราบ แต่ภพภูมินั้นยากจะอธิบายด้วยสามัญสำนึกของเรา"
องค์เทพนั้นอาจจะไม่ได้กินในแบบที่เราค้นเคยก็ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมการเซ่นไหว้ มันมีผู้รับอยู่จริงๆ สิ่งที่ทำให้ให้ภพงุนงงไปอีกว่า เมื่อพระสงฆ์ก็รู้ว่า สิ่งแบบนี้มันมีอยู่ แล้วทำอะไรไม่ได้เลยหรือ พระรูปนั้นไม่ตอบ
ภพรับไม่ได้ที่มีการฆ่ากันเกิดขึ้น แล้วผู้ที่เป็นที่เขาหวังจะเป็นที่พึ่งที่ไล่ผี สวดปราบผีเป็นแค่นิยายในหนังยังงั้นหรือ ในความเป็นจริงกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย เขานึกย้อนไปถึงมีดกริชเล่มนึงที่ได้รับมาจากพระรูปหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมาจับกริชไว้แน่น เขาคิดจริงๆในตอนนั้นว่าเขาจะลงมือเองในฐานะพระโพธิ์สัตว์ เขาเก็บซ่อนมีดเล่มนั้นไว้ข้างตัว เดินทางกลับไปที่ศาลเจ้าประหลาดอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะกลัวจนมือไม้สั่นไปหมดก็ตามที
"ดูท่าคุณจะยังมีข้อสงสัยอยู่เต็มหัวเลยสินะ เราต่างกรรมต่างวาระ อยู่คนละภพกันแต่ไหนแต่ไรมานานแล้ว ไม่ว่าคุณจะมองเราเป็นเช่นไร แต่นั่นคือธรรมดาของเรา ธรรมะของเรา" องค์เทพร่างดำบอก
ภพดูจะรับเรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ เขาพยายามไล่เทพอสูรนั้นให้กลับไปยังที่ที่เขาจากมา เทพอสูรนั้นไม่สนใจพลางเชื้อเชิญ ให้เข้ามาชมอีกร่างหนึ่งที่เขาเพิ่งได้มาสดสดร้อนๆ
ชายคนที่เทพอสูรพามาด้วยคราวนี้เป็นไอ้น้อย เด็กที่ติดตามภพมาตลอดนั่นเอง เทพอสูรนั้นบอกว่า เด็กคนนี้เป็นอีกคนที่เข้ามาวนเวียนที่ศาลมาตลอด มาขอโน่นนี่นั่น เลขบ้างอะไรบ้างแล้วก็บนบาน พอได้ไปแล้วกลับไม่เห็นตอบแทนอะไรที่บนไว้สักอย่าง พอดีเทพอสูรเคยได้ยินมาว่าเด็กคนนี้พร้อมสละทุกอย่างที่ตัวเองมีเพื่อแลกกับความร่ำรวย ภพขอต่อรองให้ไว้ชีวิตเด็กหนุ่ม เทพอสูรก็ยื่นเงื่อนไขว่า ชีวิตที่มีค่าเท่ากันหรือมากกว่าถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม ภพต้องสละชีวิตตัวเองเพื่อแลกกับชีวิตผู่อื่น เพราะนั่นเป็นหนึ่งในการบำเพ็ญบารมีตามประวัติที่ผ่านมาของการบำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า
เมื่อภพบอกว่าเขาไม่อยากแทงตัวเองจึงยื่นมีดส่งให้เทพอสูรนั้น เทพนั้นก็เดินเข้าไปดีดี แต่พอจะยื่นมือไปรับมีด ภพใช้ไหวพริบจับมีดให้อยู่ในท่าแทง แล้วก็จ้วงแทงไปบนร่างเทพอสุรนั้น มันได้ผล ร่างนั้นมีอาการเจ็บปวด กรีดร้องอย่างรุนแรงแล้วร่างก็ค่อยๆสลายไป ภพรู้สึกดีใจเหมือนเป็นผู้ชนะ เขาหัวเราะอย่างสะใจที่เอาชนะปิศาจซาตานได้
และแล้วเงามืดจางหายไป รอบข้างกลับเป็นวัดร้างที่สภาพรกร้างเหมือนไม่มีคนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ข้างกายเขามีร่างของน้อยที่เลือดไหลโทรมกาย ดูเหมือนร่างนั้นเพิ่งจะเสียชีวิตจากการถูกแทงได้ไม่นาน เขาตกใจกลัวสุดขีด มีดที่เปื้อนเลือดหล่นจากมือ เขาช็อคจนสติหลุด วูบไปเหมือนคนหมดสติ แต่พอสักพักเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินจากไปเหมือนถูกผีสิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น