เจียงซือ ตำนานความเชื่อเรื่องภูตผีของประเทศจีน ที่ในสมัยก่อนทุกคน เด็กๆต้องรู้จักเมื่อพูดถึงผีดิบจีน ดูแข็งทื่อ กระโดด กระเด้ง ดูน่าขำ แถมบางทีก็กระโดดได้ไกลสุดๆ สภาพผีดิบที่ตัวแข็งทื่อที่แม้แต่มือยังตั้งตรง ยื่นไปข้างหน้า แต่งกายด้วยชุดขุนนางในยุคราชวงศ์ชิง ผีตนนี้มีชื่อเรียกว่า เจียงซือ (僵尸) อันมีความหมายว่า ซากศพ หรือ ผีดิบ นั่นเอง ในสมัยก่อนคนไทยรู้จักผีดิบจีนนี้จากภาพยนตร์เรื่อง ผีกัดอย่ากัดตอบ (僵尸先生 เจียงซือเซียนเซิง) ในช่วงปี 1985 เรื่องนี้เป็นที่นิยมมากถือได้ว่าเปิดแนวทางหนังผี และแนวหมอผีที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร จนถึงทุกวันนี้แอดก็เชื่อว่ามีคนดูอยู่เรื่อยๆทางช่องทางต่างๆ
แม้ในภาพยนตร์จะพยายามจับคู่ว่าจะเรียกผีเหล่านี้ว่าอะไรดี เพราะเจียงซือ ไม่คุ้นหู จึงไม่เอามาเรียกกันในภาพยนตร์ หากผู้ภากษ์จึงเลียนเสียง ก่อยก่อย ตอนกระโดดจึงได้เรียกผีดิบพวกนี้ว่า กองกอย ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความเชื่อผีไทยในบ้านเรา และที่เมืองจีนก็มีความเชื่อเรื่องผีดิบของเมืองจีนที่เค้าก็เล่าต่อกันมาเกี่ยงกับผีพวกนี้ ว่าทำไมมันมีรูปลักษณ์แบบนี้ และที่มาก็มีเหตุผลน่าเชื่อถืออยู่เหมือนกัน
ตำนานลือลั่นที่เล่าขานเรื่องราวของเจียงซือมีอยู่ว่า
เจียงชือ เล่ากันว่าเป็นแวมไพร์ที่อาศัยนอนหลับอยู่ในโลงศพหรือถ้ำในเวลากลางวัน ไม่ต่างจากแวมไพร์ในตำนานที่เรารู้จักกันดี ครั้นพอเวลากลางคืนก็จะลุกออกมาจากโลง ออกหากินด้วยการดูดเลือดของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ด้วยการกระโดด กระเด้งไปมา ผีเจียงซือแม้มีขาแต่ไม่เดิน เจียงซือมีผิวที่ขาวซีดและมีขนยาว ซึ่งเกิดจากเชื้อราที่เจริญเติบโตบนร่างกาย เจียงซีเป็นผีที่ดุร้าย มันจะทำร้ายคนให้ถึงตายได้ ถ้าหากมันพบเห็นใครเข้า และบ่อยครั้งมันจะมากันทีละเยอะๆ กระโดดเด้งดึ๋งๆ พุ่งตรงมาทำร้ายผู้คนที่เดินไปมาในเมือง ด้วยท่าทางที่แข็งทื่อตัวตั้งตรง แม้ดูไม่มีพิษภัย แต่ผีดูดเลือดยังไงก็อันตรายอยู่วันยังค่ำ
การปรากฎตัวของเจียงซือสร้างความหวาดผวา ผู้คนไม่สามารถออกไปไหนมาไหนกลางดึกได้ มันชอบปรากฎตัวในคืนที่อากาศเย็น ด้วยใบหน้าขาวซีด แววตาขาวโพลน ดูหิวกระหายพร้อมจะกัดคนอยู่ตลอดเวลา ว่ากันว่าพวกมันสายตาไม่ดีนัก อาศัยการดมกลิ่นจากมนุษย์ เมื่อมันสัมผัสได้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น มันจะจู่โจมทันที เพราะฉะนั้นจึงต้องเชิญนักพรตมาปราบ เมื่อทำการแปะผ้ายันต์ไว้ที่หน้าจึงจะสามารถควบคุมเจ้าผีพวกนี้เอาไว้ได้ เมื่อพบเห็นเจียงซือจึงต้องป้องกันด้วยการทำกระสอบข้าวขวางมันเอาไว้ เมื่อมันกระโดดข้ามกระสอบข้าว พวกมันจะก้มลงนับเมล็ดข้าวทุกเมล็ด (นั่งได้ด้วยเหมือนกัน นึกว่าจะตัวแข็งเป้ก!!) เป็นวิธีป้องกันเจียงซือที่ดีที่สุด หรือไม่ก็ใช้การโปรยเมล็ดพืชหรือข้าวไว้ตามทางเดินหรือหลังคาบ้าน เพื่อถ่วงเวลาให้เจียงซือนับเมล็ดข้าวจนถึงเช้า และรอให้นักพรตมาปราบ
แต่จริง ๆ แล้วมีข้อสันนิฐานว่าเจียงซือมีที่มาจากการนำศพคนตายกลับบ้าน หรือที่เรียกกันว่า ส่งศพพันลี้ (千里行尸 เชียนหลี่สิงซือ) เกิดจากกรณีที่มีคนตายในต่างถิ่น แล้วญาติของผู้ตายที่ไม่มีเงินพอที่จะไปเหมารถหามมารับศพกลับมาทำพิธีที่บ้านได้ก็จะจ้างนักพรตไปนำศพคนตายกลับมา โดยทำพิธีปลุกศพให้ลุกขึ้นมากระโดดตามตัวเป็นขบวน โดยจะนำทางมาในเวลากลางคืน แล้วนักพรตก็จะมีกระดิ่งไว้สั่น เพื่อให้คนที่ได้ยินรู้ว่ากำลังมีพิธีนี้อยู่แถว ๆ นั้น เพราะพิธีนี้ถือเป็นลางร้ายสำหรับผู้พบเห็น (นี้อาจจะเป็นเหตุให้มีการทำเรื่องเล่าไว้ขู่เด็กๆที่อยากสอดรู้สอดเห็น ไม่ให้ดูพิธีการนี้ก็เป็นไปได้) พิธีนี้อาจเรียกอีกแบบว่า ขนศพในเซียงซี (湘西趕尸 เซียงซีก่านซือ)
จากคำบอกเล่าในหนังสือ The Corpse Walker ของเหลียว ยี่วู่ ระบุว่า พิธีนี้จะกระทำกัน 2 คน โดยผู้กระทำจะสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่คลุมตัวไว้ทั้งหมด และแต่งตัวศพด้วยชุดคลุมสีขาวและคลุมศีรษะด้วยผ้าคลุม พร้อมกับใช้โคมไฟเป็นเครื่องนำทาง ขณะที่ออกเดินจะร้องบอกเตือนอยู่เป็นระยะ ๆ ว่า ให้ระวังอุปสรรคต่าง ๆ ที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งพิธีนี้จะกระทำกันในเวลากลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการมีผู้พบเห็นและสภาพอากาศที่เย็นเหมาะกับการกระทำ ซึ่งศพของผู้ตายจะมองไม่เห็นผู้นำทางเนื่องจากถูกปิดบังไว้ด้วยเสื้อคลุม
ว่ากันว่าพิธีกรรมนี้เป็นพิธีที่นิยมกันในเมืองเซียงซีที่ผู้คนมักจะออกไปทำงานต่างถิ่นแล้วเสียชีวิตลง จึงต้องมีการว่าจ้างขนศพกลับมายังบ้านเกิด ศพที่ขนกลับมามักจัดให้อยู่ในท่ายืน โดยสอดด้วยลำไม้ไผ่ใต้รักแร้พร้อมผูกแขนทั้ง 2 ข้างของศพไว้กับไม้ไผ่ และใช้คนแบกปลายลำไม้ไผ่ด้านหน้าและด้านหลังฝั่งละ 1 คน ซึ่งบางครั้งอาจต้องขนศพถึง 2-3 ศพในครั้งเดียว ทำให้เมื่อผู้คนทั่วไปพบเห็นการขนศพแบบนี้แล้ว จึงดูเหมือนศพกระโดด กระเด้งได้นั่นเอง ดูดูแล้วก็อาจจะสร้างความรู้สึกน่าหวาดกลัว จวบจนตำนานเรื่องผีด้วยแล้วผู้คนจึงเข้าใจว่าผีดิบเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น