เราอาจจะได้รับชมกันมาแล้วจากเรื่อง Demon Slayer หรือดาบพิฆาตอสูรว่าบรรดาอสูรของญี่ปุ่นนั้นสังหารผู้คนไปมากมาย และล่อลวงคนไปกินอย่างลับๆมาตั้งแต่ครั้งอดีต และอสูรบางตัวที่ปรากฎในเรื่องยังมีที่มาที่คล้ายคลึงกันกับปิศาจในตำนานญี่ปุ่นที่เล่าสืบต่อกันมาอีกด้วย ทั้งนี้ผู้แต่งเองน่าจะไม่ได้ต้องการใช้อสูรตนนั้นมาเล่าในเรื่องที่ตนแต่งขึ้น เพราะมีการตั้งชื่อขึ้นใหม่ นั้นก็เพราะเป็นการง่ายที่จะแก้ไข เพิ่มรายละเอียดไปให้อสูรพวกนั้นให้มีความสามารถพิเศษยังไงก็ได้ตามใจชอบ อย่างไรก็ดี นับว่ามีอสูรโบราณที่มีความคล้ายกันอย่างมากกับอสูรที่ผู้แต่งออกแบบขึ้น จะมีอะไรบ้างมาดูกัน
อสูรจันทรา รุย (อสูรข้างแรมที่ 5 ) | สึจิกุโมะ 土蜘蛛
Tsuchigumo มีจริงๆในโลกของเรา ต่างประเทศเรียกว่า Purse Web Spider เป็นแมงมุมที่สามารถพบได้ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก เป็นอสูรที่มีรูปร่างคล้ายแมงมุม ตามความเชื่อเล่าว่า หากแมงมุมเหล่านี้มีอายุขัยมากพอ ก็จะพัฒนากลายมาเป็นอสูรได้ พวกมันมีพฤติกรรมไม่ต่างจากพวกแมงมุมเลย พวกมันมี 8 ขา รูปร่างใหญ่ มันอาศัยอยู่ในป่าและชอบจับเหยื่อมากินที่รังโดยเฉพาะมนุษย์ พวกมันมีลักษณะเด่นที่การพ่นใยไหมและมีความสามารถสร้างภาพลวงตาได้
ส่วนสึจิงูโมะมีรูปร่างคล้ายแมงมุมยักษ์ ปรากฏครั้งแรกในวรรณกรรมยุคกลาง โดยจัดเป็นโอนิ ซึ่งก็คือปิศาจของญี่ปุ่นนั่นเอง ซึชิกุโมะ หรือ Tsuchigumo แปลตามตัวอักษรญี่ปุ่นแปลว่า " แมงมุงโสโครก " ทำไมถึงได้ชื่อนั้น มารับฟังเรื่องเล่าของปิศาจตนนี้กัน
ตำนานของ ซึชิกุโมะ เริ่มขึ้นในช่วง ศตวรรษที่ 14 เรื่องนี้เกิดขึ้นในเมืองหลวง สมัยเฮอัน เมื่อครั้ง ท่านโชกุน มินาโมโตะ โยริมิซึ มีอาการป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้ ท่านป่วยหนักอยู่นานรักษาอย่างไรก็ไม่หาย และอาการหนักขึ้นทุกที แม้จะมีการทำพิธีปัดรังควานแล้ว อาการป่วยก็ไม่ดีขึ้น
ด้วยเหตุที่ว่าสึชิกุโมะได้จำแลงกายมาเป็นเด็กรับใช้หมายวางยาพิษโยริมิตสึ ส่งผลทำให้บาดแผลไม่สมานและยารักษาก็ไม่ได้ผล ตอนนั้นเองที่เขาสงสัยว่าตัวเองถูกวางยาจึงได้ใช้ดาบฟันใส่เด็กรับใช้
ผู้ดูแลได้ยินเสียงดัง จึงรีบเข้ามาดูในห้อง ก็พบรอยเลือดหยดเป็นทางยาว ไม่รู้ที่มาที่ไป ท่านจึงได้เกณฑ์ข้ารับใช้ให้ตามรอยเลือดนั้นไปจนถึงเนินดินแห่งหนึ่ง ทุกคนคาดกันว่า เป็นรังของเจ้าปิศาจกลางป่าใหญ่ เหล่าคณะทั้งหมดจึงลงมือช่วยกันขุดดิน ทันใดนั้นก็มีแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์โผล่ขึ้นมา พ่นใยออกหมายทำร้ายทุกคน แต่ทุกคนก็ช่วยกันต่อสู้กับมันจนในที่สุดก็ฆ่ามันได้ หลังจากนั้นท่านโชกุนก็หายเป็นปกติ
ส่วนตำนานที่สอง
กล่าวไว้ว่า ท่านโชกุน มินาโมโตะ โยริมิซึ ไปพบพวกมันในภูเขาที่ลึกและไร้ซึ่งผู้คน เมื่อท่านนำกองกำลังทหารเดินทางเข้าป่าเพื่อลาดตระเวนแถบภูเขาทางทิศเหนือ ในแถบโตเกียวปัจจุบัน
ท่านและกองกำลังได้พบหัวกระโหลกบินได้นับร้อยหัว บินหายเข้าไปในป่า ท่านรู้สึกประหลาดใจมาก จึงได้เร่งฝีเท้าม้าติดตามหัวกระโหลกพวกนั้นไป ซึ่งทำให้ท่านพบกับดวงวิญญาน
นับร้อย นับพันดวงที่มีสีหน้าทุกข์ทรมานที่เนินดินแห่งหนึ่ง
ณ เวลานั้น ใกล้พลบค่ำแล้ว ท่านจึงตัดสินใจเดินทางกลับที่พักและกลับมาใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อท่านเดินทางมาพร้อมกองทหาร กลับพบเจอหญิงสาว รูปลักษณ์ของนางนั้นงดงามสุดจะพรรณายิ่ง นางใช้ทุกวิถีทางหลอกล่อ บ่ายเบี่ยงให้ท่านโชกุนเลิกสนใจเรื่องหัวกระโหลกบิน แต่ท่านโชกุนมิได้หลงเชื่อเล่ห์กลใด ๆ ของนางเพราะเชื่อว่่าเป็นปิศาจร้าย ท่านใช้ดาบฟันเข้าที่ชุดของนาง ทันใดนั้นนางก็หายวับไปทิ้งไว้เพียงรอยเลือดสีขาว
ท่านโชกุนได้ระดมทหารออกตามรอยเลือดนั้นไป จนเดินทางมาถึงถ้ำขนาดใหญ่ ภายในหุบเขาลึก
ที่นั่นมีแมงมุมยักษ์ ตัวใหญ่มหึมาที่เป็นร่างอันแท้จริงของนางปิศาจร้ายตัวนั้น
จึงเกิดการต่อสู้ระหว่างกองทหารของมนุษย์และปิศาจร้าย ท่านโชกุนได้เข้าต่อกรกับนางปิศาจอย่างกล้าหาญและได้ตัดหัวมันจนขาดกระเด็น ในถ้ำพบหัวกระโหลกมนุษย์นับพันที่ปิศาจล่อลวงและจับมากินถึง ๑,๙๙o หัว เมื่อท่านโชกุนแทงดาบเข้าไปทางสีข้างของมัน ก็มีลูก ๆ นับพันตัวร่วงกราวลงมา พร้อมกับหัวกระโหลกมนุษย์อีก ๒o หัว เมื่อนางปิศาจแมงมุมและลูกของมันตาย ทำให้วิญญาณของเหล่าคนตาย
ได้รับการปลดปล่อย จึงเป็นที่มาของตำนานปิศาจแมงมุม ซึชิกุโมะ สืบต่อมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น