ภูเขาหินยักษ์ Bear lodge แห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า "หอคอยปีศาจ" หรือ(Devil Tower) ถ้าใครเดินทางผ่านมาพบ ภูเขารูปร่างๆแปลกมีรอยขีดเป็นเส้นยาวนี้ คงจะสงสัยว่าอะไรทำให้มันมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ และเจ้าหินนี้มีเรื่องเล่าคนท้องถิ่นด้วยนะ
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักภูเขานี้กันก่อน เขาหินนี้ตั้งอยู่ในเขต Bear Lodge Crook Country ทางตอนเหนือของรัฐ Wyoming สหรัฐอเมริกา ลักษณะที่แปลกๆของมันดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยรูปร่างที่เป็นหินสูงและมีร่องลึกยาวเป็นเส้น ดึงดูดนักปีนเป็นที่สุด แต่ว่ากันว่ามันก็เป็นภูเขาที่ปีนได้ยากที่สุดเช่นกัน โดยภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา โดยวัดความสูงเหนือน้ำทะเลได้ที่ 1,558 เมตร ส่วนยอดเขารูปเล็บหมีนี้สูงราวๆ 867 Ft หรือ 264 เมตร
เรื่องราวจากคนพื้นเมืองซึ่งก็คือคนเผ่าเก่าแก่ของอเมริกานั่นเอง เล่าว่าครั้งนึงมีเด็กผู้หญิง 7 คน เข้าไปวิ่งเล่นในป่า และปีนขึ้นไปบนยอดเขาตามประสาเด็ก โดยไม่รู้ว่ามีสัตว์ดุร้ายอาศัยอยู่ นั่นก็คือแก๊งหมียักษ์ พวกมันอยู่กันเป็นกลุ่มและอาศัยนอนในถ้ำ แถวๆตีนเขานั้น
ขณะที่เด็กๆเดินอยู่ในป่าก็ไปเจอพวกมันเข้า หมียักษ์ไม่รอช้าเมื่อเห็นคนผ่านมาก็วิ่งไล่ล่า เด็กๆขวัญหนีดีฝ่อ วิ่งเอาชีวิตรอด บางคนปีนต้นไม้หนี แต่เจ้าหมียักษ์ก็ตะปบจนต้นไม้นั้นขาดเป็นสองท่อน เด็กๆถูกไล่จนมาถึงเนินหินที่อยู่บนสุดของยอดเขา หมีใจโหดก็ไม่ลดละ พวกมันมีแต่สัญชาติญานที่ดุร้าย พวกมันใช้กรงของมันตะกุยขึ้นเนินมาติดๆ
กำเนิด Bear Lodge
สาเหตุที่มันมีรูปร่างเช่นนี้เกิดจากปรากฎการณ์หินหลอมลาวาจากใต้โลกปะทุขึ้นมาผ่านช่องว่างด้านบน ตรงบริเวณนั้นมีรูที่ใหญ่มากพอที่หินลาวาจะปะทุขึ้นมาได้ เมื่อหินเหลวปะทุขึ้นหินเหลวที่ร้อนจัดก็ไหลลงมาตามทาง หลังจากนั้นมันก็แข็งตัวกลายเป็นหินตะกอนยักษ์ขนาดใหญ่ และเมื่อมันเย็นตัวลงแล้วหินแข็งตัวเกิดเป็นรูปร่างแบบนี้ คนพื้นเมืองเรียกมันว่า Bear Lodge หรือบ้านหมี เพราะมันเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกหมี ส่วนหอคอยปิศาจมาจากการค้นพบในปี 1875 ระหว่างการสำรวจของพันเอก Richard Irving Dodge แต่เมื่อล่ามตีความหมายชื่อพื้นเมืองผิดไป เข้าใจว่าเป็น หอคอยของเทพเจ้าที่ชั่วร้าย และได้ถูกตั้งชื่อขึ้นว่า Devil Towers หรือหอคอยแห่งความชั่วร้าย พวกป้ายต่างๆก็ใช้ชื่อตาม Devil Towers ต่อมาในปี 1906 ก็ได้ถูกตั้งให้เป็น อนุเสาวรีย์สถานแห่งชาติที่แรกของสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิปดี Theodore Roosevelt ครอบคลุมพื้นที่ 1347 เอเคอร์ ดูแลโดยอุทยานแห่งชาติ
ตำนานเรื่องหมียักษ์แห่ง Bear Lodge
เรื่องราวจากคนพื้นเมืองซึ่งก็คือคนเผ่าเก่าแก่ของอเมริกานั่นเอง เล่าว่าครั้งนึงมีเด็กผู้หญิง 7 คน เข้าไปวิ่งเล่นในป่า และปีนขึ้นไปบนยอดเขาตามประสาเด็ก โดยไม่รู้ว่ามีสัตว์ดุร้ายอาศัยอยู่ นั่นก็คือแก๊งหมียักษ์ พวกมันอยู่กันเป็นกลุ่มและอาศัยนอนในถ้ำ แถวๆตีนเขานั้น
ขณะที่เด็กๆเดินอยู่ในป่าก็ไปเจอพวกมันเข้า หมียักษ์ไม่รอช้าเมื่อเห็นคนผ่านมาก็วิ่งไล่ล่า เด็กๆขวัญหนีดีฝ่อ วิ่งเอาชีวิตรอด บางคนปีนต้นไม้หนี แต่เจ้าหมียักษ์ก็ตะปบจนต้นไม้นั้นขาดเป็นสองท่อน เด็กๆถูกไล่จนมาถึงเนินหินที่อยู่บนสุดของยอดเขา หมีใจโหดก็ไม่ลดละ พวกมันมีแต่สัญชาติญานที่ดุร้าย พวกมันใช้กรงของมันตะกุยขึ้นเนินมาติดๆ
เด็กหญิงไม่มีทางหนีอีกต่อไปแล้ว พวดเธอพากันอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ในที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คนมีเพียงแต่ภัยอันตรายเบื้องหน้า หาใครได้ยินไม่ แต่แล้วเด็กหญิงคนหนึ่งก็คุกเข่าสวดมนต์ต่อทวยเทพ ดังนั้นทุกคนก็พร้อมใจคุกเข่าช่วยกันสวดมนต์ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่าช่วยคุ้มครอง หมู่ทวยเทพได้ยิน
เทพแห่งป่าจึงร่ายมนต์เสกเนินหินเล็กๆให้สูงขึ้นสูงขึ้นจนเป็นภูเขาสูงเสียดฟ้า จนเหล่าหมีที่ดุร้ายต่างก็ลื่นไถล กลิ้งไปตามทางลาดชัน พวกมันเอาเล็บครูดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา จนหินเป็นรอยทาง แต่ไม่เป็นผล เมื่อเนินลาดชันกลายเป้นภูเขาสูง พวกมันทั้งหมดก็กลิ้งตกลงไปยังพื้นเบี้องล่าง เหลือไว้เพียงรอยเล็บที่พวกหมีครูดไว้กับหิน เกิดเป็นเส้นยาวๆรอบภูเขามาจนบัดนี้
เนินเขานั้นได้กลายเป็นภูเขาสูงเสียดฟ้าซะแล้ว หลังจากคำของเด็กๆเป็นผล พวกเธอก็เอื้อมมือขึ้นสู่ท้องฟ้า และแล้วร่างของพวกเธอก็เกิดสว่างไสว ร่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงเหนือเมฆ กลายเป็นกลุ่มดาว Pleiades หรือ Seven Sisters ท่ามกลางหมู่ดาวน้อยใหญ่ในจักรวาล (บ้านเราก็คือ กระจุกดาวลูกไก่ นั่นเอง)
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับกลุ่มดาวลูกไก่
กระจุกดาวลูกไก่ หรือ กระจุกดาวไพลยาดีส เป็นกลุ่มดาวที่ถูกจัดไว้ในหมวดหมู่ของวัตถุเมสสิเยร์ M45 มีความสว่างมากและเป็นดาวฤกษ์ทั้งหมด ในกระจกดาวยังมีดวงดาวเล็กๆนับพันดวง ระยะห่างราวๆ 440 ปีแสง แต่ถึงจะห่างมากขนาดนี้แต่ก็ถือว่าเป็นกลุ่มดาวฤกษ์ที่ค่อนข้างใกล้กับโลกมาก ในกระจุกดาวลูกไก่นั้นมีดาวสว่างที่สุดจำนวน 9 ดวง ตั้งชื่อตาม ไพลยาดีส แต่ละดวงมีชื่อเรียกตามตำนาน เทพปกรณัมกรีก หญิงสาวพี่น้องเจ็ดคนในได้แก่ Asterope, Merope, Electra, Maia, Taygete, Celaeno, Alcyone ส่วน แอตลัสกับนางไพลยานีคือพ่อแม่ของพวกเธอนั่นเอง และเนื่องจากเป็นกลุ่มดาวที่เห็นได้ชัดเจนในแต่ละสถานที่ต่างๆทั่วโลก จึงมีตำนานหลากหลายพื้นที่ในแต่ละท้องถิ่น ชาวไทยเรียกดาวลูกไก่ ชาวญี่ปุ่นเรียก ซุบารุ ชาวจีนเรียก เหม่าซิ่ว แต่ชื่อของกระจุกดาวในทางดาราศาสตร์จะเรียกชื่อในภาษาอังกฤษ ซึ่งตั้งชื่อกลุ่มดาวนี้ตามตำนานกรีก กลุ่มดาวเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันทางกายภาพ ด้วยเหตุผลที่ว่า ระยะห่างของดาวแต่ละดวงไม่เท่ากันแต่เรายังสามารถมองเห็นกลุ่มดาวเหล่านี้เรียงตัวกันในแนวเดียวกับที่เรามองเห็นอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก นั่นเพราะดาวในกระจุกดาวล้วนเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันและด้วยความเร็วพอๆ กัน เป็นหลักฐานอีกอย่างหนึ่งว่าดาวเหล่านั้นมีความเกี่ยวพันกัน
ทีนี้ที่มาของชื่อดาวมาจากดาวเหล่านี้เป็นตัวแทนของหญิงสาวเจ็ดพี่น้องแห่งไพลยาดีส ขณะที่ตำนานชาวไวกิงบอกว่าดาวเหล่านั้นคือแม่ไก่ทั้งเจ็ดตัวของเฟรย์ยา ชื่อของกระจุกดาวในภาษาโบราณของทางยุโรปหลายๆ แห่งจะมีความหมายว่า แม่ไก่กับลูกไก่ ซึ่งคล้ายคลึงกับตำนานของไทย
นิทานดาวลูกไก่ในตำนานไทยเล่าว่า มีตายายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในป่า วันหนึ่งมีพระธุดงค์ผ่านมา คิดจะหาอาหารไปถวาย แต่เนื่องจากอยู่ในป่าไม่มีอาหารดีๆ จึงหารือกันจะฆ่าไก่ที่เลี้ยงไว้เพื่อไปทำอาหารถวาย แม่ไก่ได้ยินก็สั่งเสียลูกไก่ทั้งหกตัวให้รักษาตัวให้ดี ตัวเองต้องแทนคุณตายายที่เลี้ยงดูมา เมื่อถึงเวลาตายายฆ่าแม่ไก่ ลูกไก่ก็กระโดดเข้าเตาไฟตายตามแม่ไปด้วย เทพยดาเห็นแก่ความกตัญญู จึงให้แม่ไก่และลูกไก่ทั้งหมดขึ้นไปเป็นดาวอยู่บนฟ้าเพื่อเตือนใจคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น