Funny game for your mobile

ก้อนเนยของพระกฤษณะ

          


        หนึ่งในปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ลึกลับที่สุดในอินเดียนั่นคือก้อนหินขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่บนเนินในเมืองมหาบาลีปุรัม เมืองประวัติศาสตร์ในรัฐทมิฬนาฑู ดูเผินๆแล้วน่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าหินก้อนนี้จะกลิ้งทับผู้คนที่ชอบไปนอนใต้หินเมื่อไหร่ สภาพของมันกลมแล้วดูเหมือนมันจะกลิ้งลงมาได้ตลอดเวลา ดูน่าหวาดเสียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามมันยิ่งท้าทายให้เหล่าคนขี้สงสัยไปยืนแอ็คถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด ผู้คนต่างเชื่อว่ามันจะไม่ขยับแน่นอนเพราะ แท้จริงแล้วก้อนหินนี้ก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนมากว่า 1,400 ปีแล้ว การตั้งอยู่ของมันดูเหมือนเป็นการทำขึ้น จากรูปรอยตัดที่เกิด คาดว่าน่าจะเป็นเครื่องมือโดยฝีมือมนุษย์ แต่ณ.เวลานี้ที่มาของมันยังเป็นปริศนา หรือว่าเป็นหินที่เกิดจากเทพเจ้ากันแน่ แล้วมันยังมีชื่อเรียกที่น่าแปลกว่า ก้อนเนยของพระกฤษณะ (Krishna’s Butterball)





         แต่เดิมทีหินก้อนนี้มีชื่อว่า Vaan Irai Kal ที่แปลจากภาษาทมิฬหมายถึง “หินแห่งเทพท้องฟ้า” ก่อนที่ภายหลังจะถูกเปลี่ยนชื่อตามความเชื่อของชาวบ้านเป็นก้อนเนยของพระกฤษณะ เนื่องจากตามคัมภีร์ของศาสนาฮินดู พระกฤษณะในวัยเด็กได้แอบหยิบเนยหนึ่งกำมือจากเหยือกเนยของแม่ ตำนานเล่าว่าพระกฤษณะชอบเนยมาก วันหนึ่งจึงทำเนยตกลงมายังพื้นโลก จนกลายเป็นก้อนหินขนาดยักษ์

        ตามตำนานเล่าว่า ก้อนหินธรรมชาติที่มีรูปร่างกลมเหมือนลูกบอลขนาดใหญ่ยักษ์สูงกว่า 10 เมตรนี้เป็นก้อนเนยของพระกฤษณะ (Krishna’s Butterball) โดยก้อนหินดังกล่าวนี้ตั้งอยู่ที่เมือง มหาบาลีปุรัม (Mahabalipuram) เมืองโบราณ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของรัฐทมิฬนาดู อยู่ห่างจากเมืองเชนไนไปทางทิศใต้ประมาณ 60 กิโลเมตร



        ตำนานมีอยู่ว่าพระกฤษณะ ตอนสมัยที่ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้นได้ประทับอยู่ในหมู่บ้านของคนเลี้ยงวัว พระกฤษณะทรงมีอุปนิสัยเป็นคนร่าเริงแล้วยังโปรดการเป่าขลุ่ยเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย และด้วยความซุกซนในวัยเด็กพระองค์ทรงแอบไปขโมยนมและเนยของชาวบ้านมาเสวยอยู่เสมอ แต่ก็เอามาเผื่อแผ่เด็กคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน   ส่วนชาวบ้านก็รู้ว่าโดนขโมย แต่นอกจากไม่ทำอะไรแล้วกลับส่งเสริมซะด้วย     เพราะเรื่องมีอยู่ว่าวัวที่โดนลักเอานมไปตัวนั้น กลับให้น้ำนมมากขึ้น ชาวบ้านจึงเห็นเป็นเรื่องแปลก ก็เลยเฝ้าดูว่าใครนะที่เป็นคนมาลักเอานมกับเนยไป พอรู้ว่าเป็นพระกฤษณะเด็กน้อย ชาวบ้านก็เลยออกอุบายบอกที่ซ่อนนมและเนยแก่พระกฤษณะซะเลย ไม่ต้องแอบลอบเข้ามาขโมยแต่อย่างใด
ส่วนหินก้อนนี้นั้นก็คือเนยของพระกฤษณะนั่นเอง เมื่อพระองค์ทรงชอบเนยมาก วันหนึ่งก้อนเนยนี้ก็หล่นลงมาจากฟากฟ้า แล้วก็มาตกบนพื้นโลกเป็นหินแข็งจวบจนมาถึงปัจจุบัน


        ทีนี้หินทรงกลมที่เกิดตามธรรมชาตินี้หรือที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นก้อนเนยของพระกฤษณะนี้ตั้งอยู่ใกล้กับวัดคเณศรถะ (Ganesh Ratha) เทวาลัยสมัยปัลลวะที่สกัดจากโขดหิน และอยู่บนบริเวณที่เป็นเนินหินที่มีลานหินอยู่รอบ ๆ ที่จริงบริเวณนี้หินลักษณะนี้อยู่เหมือนกันแต่ไม่ตั้งอยู่บนขอบเนินเขาหินที่มีลักษณะคล้ายว่าจะกลิ้งลงมาเหมือนหินก้อนเนยพระกฤษณะ และบริเวณที่ลาดลงของเนินหินนี้ชาวบ้านมักนิยมเล่นกระดานลื่นจนหินบริเวณนี้กลายเป็นเงาแบบไม่ต้องใช้เครื่องขัดเลย และเนื่องจากเป็นบริเวณลานกว้างผู้คนยังมาเล่นว่าวกันอีกด้วย
        มีเรื่องเล่าอีกว่า ครั้งหนึ่งกษัตริย์นราสิมวรมันจากราชวงศ์ปัลลวะ (Pallava Kings) เชื่อว่าหินก้อนนี้มาจากสวรรค์ จึงไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับมัน แต่ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์อะไร รวมทั้งใช้คนของเขาที่มีอยู่ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนมันได้ จนในปี 1908 ตอนที่อินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เซอร์อาร์เธอร์ ลอว์ลีย์ ผู้ว่าการรัฐในขณะนั้นตัดสินใจย้ายหินก้อนนี้ออกจากที่ของมัน เนื่องจากเขากังวลเรื่องความปลอดภัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ข้างล่าง จึงได้เอาช้างทั้งหมด 7 เชือกมาลากหินก้อนนี้ให้ตกลงมาแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จแต่อย่างใด


        สิ่งที่น่าแปลกของหินก้อนนี้อีกอย่างก็คือ หินก้อนนี้มีลักษณะเหมือนถูกผ่าออกซึ่งมองเห็นได้จากด้านข้างและด้านหลัง ไม่มีใครทราบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เนื่องจากการกัดเซาะตามธรรมชาติไม่สามารถทำให้หินมีรูปร่างเช่นนี้ได้ จึงเป็นเรื่องลึกลับที่ยังไม่มีใครหาที่มาที่ไปที่หินมามีสภาพแบบนี้ได้ และเป็นที่น่าแปลกใจว่าหินก้อนนี้ตั้งอยู่ในสภาพพร้อมจะกลิ้งตกลงมาแบบนี้มาเป็นเวลากว่าพันปี ทั้งที่เจอทั้งฝน ทั้งลม ทั้งแดด สารพัดอย่างที่อาจจะทำให้หินเคลื่อนหรือไหลลงมา แต่มันก็ยังตั้งอยู่ตรงบริเวณขอบหน้าผาเตี้ย ๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้