HFR
High Frame Rate
อะไรคือ High Frame Rate
เมื่อเราชมภาพยนตร์ ภาพที่รันอย่างนุ่มนวลจนเกิดภาพติดตานั้นสร้างจากภาพ 1 ภาพฉายด้วยความเร็วอย่างต่ำ 16 ภาพต่อวินาที ในขณะที่โรงภาพยนตร์ทั่วไปฉายด้วยระบบ 24 ภาพต่อวินาที (FPS) การสร้างระบบที่ใหม่และมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าจึงเอามากำหนดใช้ โดยเพิ่มจำนวน FrameRate ให้มากขึ้น 2 เท่า และให้ชื่อว่า HFR ทั้งนี้การฉายภาพด้วยความละเอียดระดับนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ยังมีผู้กำกับ Peter Jackson ได้พยายามผลักดันการถ่ายหนังที่มีประสิทธิภาพสูงและได้ทำขึ้นสำเร็จแล้วจากภาพยนตร์ Peter Jackson's The Hobbit ในปี 2012 สำหรับในวงการ 3D ปัจจุบันแล้ว FrameRate ระดับนี้อาจเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกวันนี้เราเล่นเกมขั้นต่ำที่ภาพนุ่มนวล 30 ไปจนถึง 60 FPS กันไปแล้วโดยใช้ระบบ Render Engine Unreal 4หรือUnreal 5 ที่ออกแบบมาใช้กับระบบเกม แต่ในระบบภาพยนตร์นั้น Visual Effect ที่เหมือนจริงและระบบสร้างภาพที่ซับซ้อนมากรวมทั้งต้นทุนทำให้ระบบการถ่ายภาพยนตร์ใช้ 24 FPS เป็นมาตรฐานการผลิต ส่วนระบบทีวีใช้มากกว่านี้ราวๆ 29.97 FPS แต่ขนาดภาพที่สร้างเล็กกว่ามาก
Motion Capture
Underwater
การใช้ Motion Capture มีมานานแล้วในโลกภาพยนตร์ และเรียกได้ว่า Avartar ภาคแรกเป็นต้นตำหรับนำ Motion Capture มาใช้เลยก็ว่าได้
อะไรคือ Motion Capture
เทคโนโลยีที่ใช้การกำหนด Marker ลงไปในชุดหรือหุ่นเพื่อจำลองการเคลื่อนไหวแล้วใช้ Technology CGI Render ทับลงไปเพื่อให้สมจริงโดยจะสร้างหุ่นโมเดลเป็นอะไรก็ได้ที่ยากที่จะนำหุ่นกระบอกหรือหุ่นยนต์มาใช้ถ่ายทำ โดยในสมัยก่อนใช้หุ่นกระบอกมาเคลื่อนไหวแล้วถ่ายทีละเฟรมเรียกว่า Stop Motion แต่ภาพที่ได้นั้นจะกระตุก หรือใช้หุ่นมาสร้างแล้วบังคับด้วยวิทยุ ยกตัวอย่างเช่นไดโนเสาร์จากเรื่อง Jurassic Park บางซีน
การสร้าง Motion Capture ใต้น้ำถือเป็นครั้งแรกในระบบการถ่ายภาพยนตร์ เพราะใต้น้ำยากที่จะถ่ายภาพให้ได้คมชัดแถมยังยากที่จะเอาคนลงไปกลั้นหายใจในน้ำเป็นเวลานานๆได้ การเคลื่อนไหวในน้ำมีภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องที่มีเรื่องราวที่ต้องแสดงในน้ำอย่าง Scene ของชาว Atlantean ในภาพยนตร์ Aquaman ที่กำกับโดย James Wan นั้นใช้การถ่ายทำบนบกและใส่ระบบภาพให้มองเห็นว่า เป็นมนุษย์ที่อยู่ใต้น้ำ แต่ Avartar 2 The Way Of Water สร้างระบบเคลื่อนไหวใต้น้ำได้ด้วยการถ่ายทำในน้ำจริงๆ ผู้แสดงสวมชุด Motion Capture ลงไปเล่นอุปกรณ์ดำน้ำ ขี่อุปกรณ์เคลื่อนที่ และยังต้องกลั้นหายใจให้มากที่สุดในบางฉากเพื่อสร้างความรู้สึกเหมือนได้ลงไปอยู่ในโลกใต้น้ำจริงๆ นักแสดงจึงต้องว่ายน้ำได้เก่งเหมือนชาว Navi ในภาพยนตร์ อย่างฉากที่นักแสดง Kate Winslet 1 ในนักแสดงเรื่อง Avartar ต้องหัดกลั้นหายใจให้นาน จนเป็นนักแสดงที่กลั้นหายใจในน้ำได้นานที่สุดกว่า 7 นาที 15 วินาที มากกว่าเรื่องที่ Tom Cruis เคยทำไว้ในเรื่อง Mission Impossible (6 นาที)เสียอีก และดำได้นานที่สุดจนบันทึกเป็นสถิติ เรียกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ใส่ใจในความเหมือนจริงแม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีเหมือน Aquaman ก็ตาม
virtual reality
Camera Rigged
ระบบกล้อง 3 มิติ
นอกจากนั้น James Cameleon ยังนำเอาระบบ Camera Rig มาใช้ในการถ่ายทำ 3D อันเป็นวิธีการถ่ายทำอันแปลกใหม่ โดยกล้องที่ใช้นั้นคือ Sony VENICE มาใช้ในกระบวนการ 3D stereoscopic beam spitter system (กระบวนการถ่ายทำภาพ 3 มิติแบบแยกลำแสง) ระบบที่ว่านี้เรียก Sony CineAlta VENICE 3D
Tank น้ำ 900,000 Gallon
Emotion Capture
Facial Expression
ระบบใหม่ทีได้ใส่ไปในการทำหน้าของ Avartar ทำได้ละเอียดกว่าที่เคย โดยระบบการถ่ายทำหน้าเพื่อที่ใส่ในระบบ CG นั้นจะถ่ายจากนักแสดงจริงๆโดยใส่จุด Marker เข้าไปที่จุดสำคัญบนใบหน้าเพื่อระบุตำแหน่ง แล้วจึงใส่ CG Character นั้นทับลงไป ซึ่งในเรื่อง Avartar นั้นนักแสดงจะสวมหมวกที่มีกล้องจับตรงไปยังใบหน้าของแต่ละคน อันเป็นการสร้างอิสระทีใบหน้าได้มากกว่าวิธีเก่า
James Cameleon เล่าว่า"วิธีการนี้นั้นได้ลดเวลาเป็นชั่วโมงในการแต่งหน้าและช่วงเวลาที่ไม่ค่อยสะดวกสบายสำหรับนักแสดง" ก่อนหน้านั้น นักแสดงต้องใส่จุด Marker เล็กๆติดกาวทั่วหน้า และมันทำให้จับใบหน้าไม่ได้เลยในช่วงเวลานั้น แต่ด้วยวิธีการใหม่ ทดเวลาไปมากในการถ่าย จากนั้นระบบจะเอาไปจับคู่กับ Software ที่สร้างโดย Weta Digital และสร้างระบบแสดงสีหน้าออกมา
IMAX Picture System
26% More space
แน่นอนว่าระบบภาพแต่ละขนาดถูกนำไปใช้ในโรงภาพยนตร์ไม่เหมือนกัน โดยผู้ชมจะได้ชมภาพระดับ 4 K เป็นพื้นฐานแต่จะมีขนาดและความคมชัดต่างกันไปตามระบบกล้อง Projector อย่างโรงถ่ายระบบ Laser ก็มีความคมชัดเป็นที่สุด หรือภาพเต็มตาก็ต้องไปดูที่โรงระบบ IMAX ซึ่งคุณจะได้รับชมภาพในขนาดที่มากกว่าใคร 26 % ในภาพยนตร์ทั่วไปเราจะได้รับชมในสัดส่วน 2.39:1 นั่นหมายความว่า สัดส่วนในการดูหนังส่วนกว้างคือ 2.39 เท่าเมื่อเทียบกับความสูง ส่วน IMAX หรือ Maximun Image นั้ เราได้ดูภาพมากขึ้นไปอีกถึง 26 % นั่นก็หมายถึงว่าเราจะได้เห็นทุกส่วนที่หนังมีมากกว่าดูจากจอทั่วๆไป สัดส่วนที่ใช้กันใน IMAX คือ 1.43:1 เป็นหลักหรือ 1.90:1 (ขึ้นอยู่กับ Projector) สัดส่วนการดูหนังนี้ทำให้เราได้ประสบการณ์ที่แตกต่างกว่าใคร จากที่ไม่ได้เห็นน่องขาอ่อนพระเอก เราจะได้เห็นใน IMAX แบบเต็มตา
ภาพยนตร์ AVATAR 2 ภ่ายในระบบ IMAX และได้ถูกรับรองว่าผ่านระบบที่รับรองไว้หรือ Certified filmed for IMAX Program ด้วยกล้อง Sony Venice3D เราจะได้เห็นภาพใต้น้ำขนาดใหญ่ ที่คมชัดที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น