Funny game for your mobile

10 สถานที่สวยงามน่าเที่ยว ที่เสี่ยงตายที่สุด

 

1. หุบเขามรณะ
Death Valley National Park,USA

หุบเขามรณะ เป็นทะเลทรายอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา บริเวณเขตแดนระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียกับรัฐเนวาดา เป็นสถานที่ที่มีอุณหภูมิถึง 49 องศาเซลเซียส แค่ความร้อนระดับนี้ก็อันตรายแล้ว แต่อุณหภูมินี้ยังไม่ใช่ระดับที่ร้อนที่สุด แถมสถานที่นี้ยังเต็มไปด้วยหุบเขาหินที่แห้งแล้ง มองไปทางไหนก็มีแต่หิน อันตรายอย่างมาก ถ้าหลงมาติดอยู่ที่นี่โดยไม่มีรถ สถานที่แห่งนี้อันตรายจนติดอันดับเพราะสภาพอากาศ Death valley นั้นถูกจัดให้เป็น 1 ในสถานที่ที่ร้อนที่สุดในโลก โดยในวันที่ 10 กรกฏาคม 1913 มีการวัดอุณหภูมิของหุบเขานี้ โดยผลที่ได้นั้นสูงถึง 56.7 องศาเซลเซียส หรือ 134 องศาฟาเรนไฮต์ และนั้นเป็นอุณหภูมิที่สูงที่สุดตลอดมาที่วัดได้จากพื้นผิวโลก เป็นคล้ายกับเขาวงกต และแห้งแล้งทุรกันดาร แทบไม่มีฝนตกเลยในแต่ละปี หรือตกติดต่อกันถึง 1 เดือน และต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 86 เมตร

ในวันที่แห้งแล้งก็แล้งจัด วันที่ฝนตกก็มีสภาพอากาศที่โหดร้าย Death valley ยังมีการเกิดพายุที่รุนแรงอยู่บ่อยครั้งซึ่งทำให้เกิดฟ้าผ่าและน้ำท่วมตามมา โดยในวันที่ 18 ตุลาคม 2015 เกิดพายุที่ทำให้พื้นทะเลทรายเกือบทั้งหมดถูกปกครุมไปด้วยน้ำกันเลยทีเดียว 







                                2.หุบเขาวอชิงตัน 
                                  Mount Washinton, USA

จากสถานที่ๆอากาศหนาวเย็นและไม่มีสิ่งกีดขวางภัยธรรมชาติเลยอย่างสถานที่นี้ Mount Washington เป็นสถานที่แรก ที่มีลมแรงที่สุดในโลก! พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ เมื่อมีภัยจากลมพายุจะมีลมที่รุนแรงขนาดไหน ลมที่นี่มีความเร็วประมาณ 203 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 327 กิโลเมตร! แต่ลมแรงไม่ใช่ความอันตรายเพียงอย่างเดียว เพราะอุณหภูมิที่นี้ก็โหดร้ายด้วยเช่นกัน ทั้งอากาศที่เย็นยะเยือกและหิมะที่ตกหนักตลอดเวลา ทำให้ที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันตราย จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ Mount Washington มียอดการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวสูงทุกปี ดูสภาพไม่น่ามาเที่ยวกันเลย แต่อันตรายแบบนี้ ก็ยังมีผู้คนมาเยือน


                                


                            3.ภูเขาไฟซีนาบุงที่อินโดนีเซีย
                                    Sinabung Volcano ,Indonesia


มาที่เอเชียใกล้บ้านเราอย่างอินโดนีเซีย ดินแดนที่มีภูเขาใหญ่น้อย และภูเขาไฟเป็นจำนวนมาก เขาซีนาบุง (Gunung Sinabung) เป็นภูเขาไฟในสุมาตราเหนือ ประเทศอินโดนีเซีย มีการไหลของลาวาที่เย็นตัวแล้วด้านข้างของภูเขา การปะทุครั้งล่าสุดก่อนหน้า พ.ศ. 2553 เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2143 การพ่นไอน้ำ แก๊ส และลาวาทางรอยแตกบริเวณภูเขาได้รับการบันทึกครั้งล่าสุดใน พ.ศ. 2455 แต่ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการบันทึกอีก จนกระทั่งการปะทุในช่วงเช้าของวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553 จากการปะทุในปี พ.ศ. 2553 ซีนาบุงเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่สงบไปนานแล้วกลับปะทุขึ้นอีก เช่นเดียวกับภูเขาไฟอีกหลายลูกทั่วโลก 

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ซีนาบุงได้เกิดการปะทุขนาดย่อมขึ้นก่อนหน้าวันดังกล่าว การปะทุได้พ่นเอาเถ้าถ่านลอยสูงขึ้นไปในชั้นบรรยากาศกว่า 1.5 กิโลเมตร และลาวาได้ไหลทะลักออกมาจากปล่องภูเขาไฟ เขาซีนาบุงสงบมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ โดยการปะทุครั้งล่าสุดเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2143 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ชาวบ้านจำนวน 6,000 จาก 30,000 คนที่ถูกอพยพออกไปจากพื้นที่เมื่อเกิดการปะทุ ได้ย้ายกลับเข้าอาศัยที่เดิม ซีนาบุงเป็นภูเขาไฟที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ "บี" ซึ่งหมายความว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง (แตกต่างจากหมวดหมู่ "เอ" ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง) ผู้คนจึงมาอาศัย และมีบ้านมีครอบครัวที่นี่ แต่มันก็อันตรายไม่น้อย เมื่อต้องมีบ้านพักติดอยู่กับภูเขาไฟ



                                                  4.เกาะงู
                                   ILha da Queimada Grande,Brazil

สถานที่นี้ อันตรายเกินกว่าจะพักอาศัย หรือมาเที่ยวได้ อิลยาดาเกย์มาดากรังจี  เป็นเกาะแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกชายฝั่งรัฐเซาเปาลูในบราซิล บางครั้งถูกเรียกว่า เกาะงูคลั่ง เพราะเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยงูพิษจำนวนมากอาศัยอยู่ ดังนั้นจึงกลายเป็นสถานที่อันตรายมากทำให้ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่หรือเข้าไปรุกรานเลย แต่อย่าห่วงว่าแม้ที่นี่มีแต่งู เพราะงูเป็นสัตว์ที่กินได้ทุกอย่าง และสถานที่นี้ยังมีตัวอันตรายที่สุดอย่างงูพิษ โกลเดนแลนซ์เฮด (golden lancehead) เป็นงูพิษที่มีความรุนแรงมากกว่างูพิษทั่วไป โดยพิษของมันขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก กล่าวกันว่าจำนวนงูพิษในเกาะนี้มีมากมายมหาศาลขนาดที่ว่าในพื้นที่ 1 ตารางเมตรมีงูเฉลี่ยถึง 5 ตัวเลยทีเดียว และจัดว่าเป็นงูท้องถิ่นชนิดเดียวที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนเกาะนี้เท่านั้น โดยอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมากๆ ประมาณกันไว้ว่ามีงูชนิดนี้มากกว่า 5,000 ตัวบนเกาะ ดังนั้นกองทัพเรือประจำประเทศบราซิลประกาศให้เกาะนี้เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ประชาชนเข้าไป เพื่อป้องกันอันตราย จะมีก็แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เข้าไปเพื่อศึกษาสิ่งมีชีวิต และได้มีโอกาสกลับมาเตือนเราว่า เกาะนี้มันอันตราย







5.อุทยานแห่งชาตมาดิดิ

Madidi National Park,Bolivia

        วิวมุมสูงของสถานที่นี้มันเต็มไปด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ที่ขึ้นหนาแน่น ธรรมชาติอันสวยงามกับความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ช่างเย้ายวนให้ไปค้นหาเสียจริงๆ แต่ก็น่าแปลกที่ความสวยงามมักซ่อนความน่ากลัวไว้ด้วยเช่นกัน เมื่อใดที่เราไปสัมผัสพรรณพืชของสถานที่นี้เข้าจะเกิดอาการคันคะเยออย่างรุนแรง ถึงว่าทำไมมันอุดมสมบูรณ์นัก เพราะเป็นสถานที่ๆสิ่งมีชีวิตอย่างเราไม่กล้ายุ่ง ก็สถานที่นี้หน่ะ สุดแสนจะอันตราย!  ถึงจะเขียนบอกว่าเป็นอุทยานแห่งชาติ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับคนเสียแล้ว พราะมันเป็นแหล่งที่อยู่ของพืชมีพิษ และสัตว์ดุร้ายทั้งหลาย ถ้าคุณแค่เผลอไปโดนหญ้าที่นี่เพียงแค่นิดเดียวคุณก็จะเกิดอาการคันอย่างรุนแรง ผื่นขึ้น และเวียนหัวอีกด้วย และหากคุณมีบาดแผลแล้วมาเที่ยวที่นี่ล่ะก็ คุณก็อาจจะติดเชื้อปรสิตในเขตร้อนได้อย่างง่ายๆ





6. หุบเขาแห่งความตายในรัสเซีย

Valley Of Death,Kamchatka, Russia

        สุสานสัตว์บนคาบสมุทร กัมชาตกา สถานที่เราจะเห็นซากสัตว์ตายเป็นจำนวนมาก เหมือนมันเดินทางมาที่นี่เพื่อมาฆ่าตัวตาย แต่ก็เปล่า ที่นี่ได้รับฉายาว่า หุบเขาแห่งความตาย หลังจากการวิจัยดำเนินการตั้งแต่ปี 2518 ถึง 2526 นักวิทยาศาสตร์สรุปว่าสัตว์และนกถูกฆ่าโดยก๊าซพิษที่มีความเข้มข้นสูงซึ่งเกิดขึ้นจากภูเขาไฟ ส่วนผสมของไฮโดรเจน ซัลไฟด์คาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คาร์บอนไดซัลไฟด์และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่อันตรายถึงชีวิตสะสมอยู่ในที่ราบลุ่มของหุบเขาที่ไม่มีลมพัดผ่าน

The Valley of Death เป็นพื้นที่ค่อนข้างเล็ก ยาวเพียง 2 กม. และกว้าง 500 ม. ระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมทำให้ดินแดนนี้เป็นกลายเป็นแดนสังหารจากธรรมชาติ หิมะที่ปกคลุมหุบเขาละลายเป็นน้ำทำให้เกิดการปล่อยก๊าซอันตรายถึงชีวิต

ทำให้เกิดการสังหารเป็นทอดๆ สัตว์ที่มักจะตายคือนกที่ดื่มน้ำในแม่น้ำที่ละลาย ตามด้วยสุนัขจิ้งจอกที่เข้ามาในหุบเขาเพื่อล่าสัตว์ ซากสัตว์ที่ตายก่อนจะดึงดูดนักล่าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น หมี วุลเวอร์ลีน เป็นต้น

ร่างของสัตว์ที่ตายแล้วยังคงสภาพเนื่องจากก๊าซพิษนั้นป้องกันแบคทีเรียที่มีหน้าที่ในการย่อยสลาย แม้แต่แบคทีเรียยังอยู่ไม่ได้!! ซากสัตว์จึงไม่เน่าเปื่อยไปง่ายๆ

สิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ว่าทำไมสัตว์ไม่วิ่งเมื่อพวกมันเริ่มรู้สึกถึงอาการและทำไมพวกมันถึงมาเยี่ยมหุบเขาในตอนแรก บางคนเชื่อว่าองค์ประกอบในก๊าซของหุบเขาอาจทำให้เกิดอัมพาตบางส่วน แต่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ มนุษย์มักมีอาการปวดศีรษะมีไข้และอ่อนแอเมื่อเข้าสู่หุบเขาแห่งความตาย บางครั้งก็นำไปสู่อันตรายถึงชีวิต







7. เกาะทดลองนิวเคลียร์ 

Bikini Atoll, The Marshall Island

บิกีนีอะทอลล์ เป็นอะทอลล์ หรือเกาะปะการะ ที่อยู่ในรายชื่อมรดกโลก ตั้งอยู่ในเขตไมโครนีเซียของมหาสมุทรแปซิฟิก ดูเผินๆแล้วที่นี่มีหาดทรายสวย น้ำทะเลสีเขียว ชื่อบิกินีของหาดนี้ ดึงดูดให้คนไปเที่ยวเพื่อไปดูสาวในชุดบิกินีใช่หรือไม่  แต่สงสัยจะผิดหวังเพราะ นอกจากสถานที่นี้จะไม่มีสาวๆแล้ว มันยังเป็นสถานที่ๆคนทั่วๆไปไม่อยากเข้าใกล้ เพราะมันคือเป็นสถานที่ๆใช้ทดลองระเบิดปรมาณู ถึงจะเลิกไปนานแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีสารกัมมันตภาพรังสีเหลือค้างอยู่ มีข่าวว่าเคยมีการโยกย้ายประชากรออกจากเกาะหลายครั้ง แต่การอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานๆนั้นก็เป็นอันตราย และเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้




8. แอ่งภูเขาไฟดาลลอล ประตูนรกที่เอธิโอเปีย

Danakil Depression,Ethiopia


ที่นี่มีลักษณะภูมิประเทศแปลกตาไม่เหมือนใครในโลก ด้วยบ่อสีเหลือง เขียว ที่ส่องแสงมีฟอง น้ำก็ร้อนเดือดตลอดเวลา อากาศโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยส่วนผสมของพิษจากคลอรีนและก๊าซซัลเฟอร์
Danakil Depression หรือแอ่งอานาคิล เป็นที่ตั้งของแอ่งภูเขาไฟดาลลอล (Dallol) มันเป็นแอ่งรูปพัดขนาดใหญ่ในเอธิโอเปีย หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "ประตูนรก" มันเป็นสถานที่ร้อนระอุสุดขั้วทั้งมีอากาศที่อันตราย ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ๆแปลกประหลาดที่สุดในโลก ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนมาเยือน จากความแปลกของมันนั่นเอง






9. ทะเลสาบนาตรอนในแทนซาเนีย

Lake Natron ,Tanzania

        ทะเลสาบนาตรอน หรือทะเลสาบแห่งความตาย ชื่อนี้ได้มาจากสารพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเหมือนสารฟอกขาว ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 60 องศาเซลเซียส มันมีสภาพแย่จนแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้ นอกจากแบคทีเรียบางชนิดและนกฟลามิงโกสีชมพู
โดยทะเลสาบนี้ลึกกว่า 3 เมตร มีความกว้างหลายระดับ ความยาวสูงสุดที่วัดได้คือ 57 กิโลเมตร กว้าง 22 เมตร พื้นที่โดยรอบได้รับน้ำฝนไม่สม่ำเสมอกันตลอดฤดูกาล ส่วนใหญ่ระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม 
        สภาพแวดล้อมที่ฆ่าสัตว์ใหญ่ๆได้ ด้วยความร้อน ความเค็มและการกัดกร่อน PH 12 ระดับสารฟอกขาวที่ใช้ในบ้าน พื้นที่นี้ตั้งอยู่ในภูเขาไฟ Oi Doinyo Lengai พื้นที่นี้อันตรายอย่างยิ่ง จะมีก็แต่นกฟลามิงโกสีชมพู ที่อยู่ได้

        ด้วยฤทธิ์ด่างจากแร่ธาติโซเดียมคาร์บอเนตและธาตุอื่นๆที่ไหลมาจากภูเขาไฟ ไหลลงสู่ทะเลสาบ มีมากพอที่จะทำให้สัตว์ถึงตายได้อย่างช้าๆ สำหรับนกที่เกาะขอนไม้ชิวๆ กว่าจะรู้ตัวว่าร่างกายได้รับสารพิษก็สายไปเสียแล้ว สัตว์หลายตัวที่แวะมาที่นี่จึงมีสภาพเหมือนแห้งตายเหมือนสัตว์แช่แข็ง (ยิ่งถ่ายด้วยภาพขาวดำแบบนี้นึกว่ากำลังดูหนังผีอยู่) สำหรับคนแล้วมันทำลายผิวหนังและดวงตา ถ้าสูดอากาศเข้าไปมากถึงกับเสียชีวิต


        แม้ทุกอย่างดูเลวร้ายแต่ที่นี่ดูจะมีนกฟลามิงโก้ที่อาศัยอยู่ได้ มากินสาหร่ายสีแดงของทะเลสาบนี้เป็นอาหาร ในสาหร่ายเต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีนที่มันชอบ และจำนวนมันมากพอที่ทำให้ นกกว่าล้านตัวอยู่ได้โดยไม่ต้องกลัวใครมาแย่ง แถมมันยังใช้ความร้อนที่ระเหยออกมาจากทะเลสาบ อบรังของมันให้อุ่นและแห้งพอสำหรับรังของมันเพื่อวางไข่ได้อีกด้วย



10. บ่อน้ำเจคอบ

Jacob’s Well ,Texas

         บ่อน้ำเจคอบ เป็นบ่อน้ำธรรมชาติ ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1850 ด้วยความสวยงาม มีหลุมลึกที่มองไม่เห็นข้างใต้ ชวนน่าค้นหา หลังจากถูกค้นพบมันก็กลายเป็นแหล่งโดดน้ำยอดฮิตของนักท่องเที่ยว และขึ้นชื่อว่าเป็นจุดดำน้ำที่อันตรายที่สุดในโลกด้วย

บ่อน้ำแห่งนี้ เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำลื่นๆ มีปากหลุมกว้างประมาณ 4 เมตร มีปริมาณน้ำกว่า 10,000 แกลลอน ไหลผ่านต่อวินาที ส่วนความลึกไม่สามารถระบุได้ เพราะมันเต็มไปด้วยถ้ำเล็กๆ ที่มีโขดหินใหญ่น้อยขวางกั้น

ข้างในเป็นถ้ำ 4 ถ้ำ โดยถ้ำแรกยังคงมีแสงสว่างลอดผ่าน ไม่ลึกมากนัก ลึกราวๆ 30 ฟุต แต่เมื่อเข้าไปด้านในกลับพบว่ามันเริ่มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะถ้ำที่4 เป็นถ้ำหินปูนไม่มีกรวดปน เต็มไปด้วยโขดหินที่ซับซ้อน และที่สำคัญคือความมืด และถ้านักดำน้ำเกิดอากาศหมดระหว่างหาทางออกแล้วล่ะก็ หมดโอกาสขึ้นกลับมาได้อย่างแน่นอน

ถึงแม้จะมีผู้เสียชีวิตจากการดำน้ำที่นี่แล้วทั้งหมด 8 ราย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ได้ลดความนิยมของนักท่องเที่ยวเลยสักนิด ยังคงมีนักโดดไม่น้อยที่อยากสัมผัสความลึกที่สวยงามอันนี้ และพิสูจน์ความกล้าของตัวเองอย่างไม่ขาดสาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้